แม้ตำรวจจะเร่งรีบ “รุก” ด้วยการแถลงต่อสาธารณะว่า “ผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงก่อน” แต่การสลายการชุมนุมเมื่อ 20 มีนาคมที่ผ่านมาก็ยังคงมากไปด้วยคำถาม
นั่นคือ ทำตาม “หลักสากล” หรือ “ฉ้อฉลในเชิงยุทธ” !
ฟังจาก พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น.ในฐานะ “โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล” คล้ายกับฝ่ายผู้ชุมนุม “เริ่มต้นก่อน”
ตำรวจจึงประกาศเตือนให้หยุด ให้เลิก ให้กลับบ้าน แต่ผู้ชุมนุมยังคงดื้อด้านก่อกวนชวนรำคาญระรานเข้าพื้นที่หวงห้าม ขว้างปาก้อนหิน ยิงหนังสติ๊ก โยนไปป์บอมบ์ ระเบิดเพลิง รื้อกำแพงตู้คอนเทนเนอร์ จึงต้องฉีดน้ำไล่ทุบเตะตุ๊บตั๊บกับยิงด้วย “กระสุนยาง” เพื่อควบคุมสถานการณ์
ตำรวจพยายามตอกย้ำ “ความชอบ” ในการเข้าสลายการชุมนุมด้วยการอ้างว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนก็หัวร้างข้างแตกหลายนาย
แต่สุดท้ายตำรวจก็จับกุมผู้ต้องหา 20 คน เป็นผู้ใหญ่ 16 เด็กและเยาวชน 4 คน
ตำรวจจัดให้เต็มแม็ก 7 ข้อหา ตั้งแต่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ มั่วสุมสมคบกันใช้กำลังประทุษร้าย ก่อความวุ่นวาย ทำร้ายเจ้าพนักงาน ฝ่าฝืนคำสั่ง ต่อสู้ขัดขวางโดยมีและใช้ชอาวุธ ไปจนถึง “ม.112”
จะว่าไปแล้วบรรยากาศ และสถานการณ์ขณะนี้ต่างกับการชุมนุมของ “กปปส.” คราวก่อนมาก
ครั้งนี้ผู้ชุมนุมมีเพียง “ข้อเรียกร้อง”
คราวก่อน “กปปส.” ประกาศสถาปนารัฏฐาธิปัตย์
คราวก่อนมี “เอ็ม 79” ลอยมาลงกลางวงตำรวจ ตาย 4 ขาขาด บาดเจ็บระเนนระนาด
“การ์ด กปปส.” ถูกจับสารภาพว่าเป็นคนยิงตำรวจตายไม่สะทกสะท้าน
คราวก่อนอาวุธยุทโธปกรณ์ของผู้ชุมนุมในพื้นที่กระทรวงการคลังที่ถูกยึดได้ราวกับ “คลังแสง” เตรียมทำสงคราม
แต่คราวนี้ อาวุธหนักที่ยึดได้กลายเป็นหนังสติ๊กกับก้อนหิน
ท่วงทำนองของ “ตำรวจ” เมื่อคราวรับมือกับ “ม็อบ กปปส.” กับที่ “ลงมือ” กับม็อบนักศึกษาประชาชนในครั้งนี้ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในครั้งนี้ตำรวจแน่ใจหรือว่าได้ทำตามหลักสากลและสนธิสัญญาเจนีวาด้วยความมีสำนึกต่อ “ชีวิตเล็กๆ” อย่างเคร่งครัด
อย่าลืมว่า การชุมนุมเรียกร้องของทุกกลุ่มในเวลานี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายช่วงชิง “อำนาจรัฐ” ไม่ได้ยุยงปลุกปั่นให้ล้มล้างการปกครอง
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ควรทำหน้าที่ “ปกป้อง” ไม่ใช่ “ปราบปราม”
ถ้าไม่ถูกครอบงำด้วยทัศนคติและอุปนิสัยเผด็จการก็ต้อง “เปิดพื้นที่”
ไม่ใช่ “ขอคืนพื้นที่” ด้วยการไล่ทุบตี ไล่ยิงด้วยกระสุนยาง !?!!