ใกล้ตัวทุกคนเข้ามาทุกทีแล้ว โควิด-19 รอบนี้รุกรบรวดเร็ว ใครเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไม่ทันระวังไวรัสจะกระโดดเกาะติดหนึบทันที
ไม่ตื่นตระหนก แต่ต้องตระหนักว่าต่อวิกฤตเบื้องหน้านี้อย่าได้หวังพึ่งพาความสามารถอันน้อยนิดของรัฐบาลนี้
โควิด-19 ระบาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ มี.ค.2563 รัฐบาลมีเวลาเตรียมตัวจัดหาวัคซีนตั้งแต่กลางปีที่แล้วเช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก แต่ด้วยเหตุที่ไทยทนปฏิบัติตนดีเยี่ยมจึงมีผู้ติดเชื้อน้อยและตายน้อยทำให้รัฐมนตรีบางคนออกมาอวดโอ่โอหังว่า “โควิด-19 กระจอก”
“ความประมาท” เป็นสารตั้งต้นของความหายนะ !
ถ้าจะว่าไปแล้วองค์ความรู้ของรัฐมนตรีน่าจะมีค่าเท่ากับ “ศูนย์” หมอกลุ่มหนึ่งจูงไปทางไหนก็ต้องไปในทางนั้น
ไทยนิ่งนอนใจ ไม่เข้าร่วม “COVAX” แค่สั่ง “วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า” ไว้ 26 ล้านโดส
พอเจอวิกฤตโควิดระบาดรอบสอง จึงสั่ง “แอสตร้าเซนเนก้า” อีก 35 ล้านโดสกับ “ซิโนแวค” 2 ล้านโดส รวมเป็น 63 ล้านโดส พร้อมกับมีนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิค ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำหน้าที่คล้าย “หมอชง” ถึงกับเชียร์ว่า “วัคซีนทั้งของซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า มีประสิทธิภาพดีมากในการลดความรุนแรงของโรคและช่วยป้องกันการป่วยที่มีอาการมากกับป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ต่างจากวัคซีนของโมเดินนาและไฟเซอร์”
แต่ประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “ประสิทธิภาพ”
ใครๆ ก็รู้ว่าวัคซีนทุกตัวยังต้องรอผลวิจัยระยะยาว
ในการต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ สหรัฐอเมริกาฉีดวัคซีนกันตั้งแต่ปลายปี 2563 อิสราเอลฉีดให้กับพลเมืองไปแล้วถึงร้อยละ 80 สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย กัมพูชา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และลาว ล้ำหน้าไทยเพื่อไล่ตามทฤษฎีที่ว่า ถ้าฉีดวัคซีนได้ราว 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรก็จะเกิด “ภูมิคุ้มกันกลุ่ม” ทำให้ความรุนแรงเกรี้ยวกราดของโควิด-19 ลดลง
ภารกิจด่วน “เพื่อประชาชน” ของรัฐบาลแต่ละประเทศจึงเป็นการเร่งจัดหาและฉีดวัคซีนโควิด-19
ไทยจะต้องใช้วัคซีนถึง 100 ล้านโดส ยังขาดอยู่อีก 37 ล้านโดส
แต่รัฐบาลด้อยความสามารถเพิ่งจะฉีดวัคซีนกันไปได้แค่ร้อยละ 0.3 ของประชากร !?!!