“กิตติพงษ์” หนุน บิ๊กต๊อก ปรับบัญชียาบ้า สอดรับหลักสากล ช่วยผู้เสพ กล้าเข้าสู่ระบบบำบัด

นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผอ. สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(ทีไอเจ)

กิตติพงษ์” หนุน บิ๊กต๊อก เดินหน้า ปรับบัญชียาบ้า สอดคล้องหลักสากล ช่วยผู้เสพ กล้าเดินเข้าสู่ระบบบำบัด อย่างถูกวิธี

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผอ.สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(ทีไอเจ) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรี เตรียมใช้ม.44 รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปรับยาบ้า จกยาเสพติดประเภท 1 เป็น ยาเสพติดประเภท2 เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการใช้ระบบสาธารณสุข มาแก้ปัญหายาเสพติด ว่า แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับสากลของสหประชาชาติ ที่ต้องลดระดับความรุนแรงของโทษทางอาญา หรือไม่ต้องการให้มีโทษทางอาญาเลย แต่ในประเทศไทยคงยังไม่ถึงจุดนั้น โดยโปรตุเกสโมเดล ที่มีการศึกษาวิจัย พบว่า มีการลดโทษทางอาญากับกลุ่มผู้เสพและนักค้ารายย่อย นำมาตรการทางการปกครอง มาใช้ ซึ่งที่ผ่านมาทีไอเจได้นำเสนอผลการศึกษาไปแล้วส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยยังเห็นว่ากลุ่มยาประเภทเมทแอฟตามีน ยังคงเป็นยาที่ต้องมีการควบคุมและเป็นยาเสพติดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เพราะข้อมูลทั่วโลกช่วง 5 ปีผ่านมาพบว่ากลุ่มยาประเภทดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ถึง3เท่า โดยแหล่งผลิตมาจาก บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ดังนั้นเป้าหมายในการปราบปรามของประเทศไทย ก็ต้องชัดเจนในเรื่องแผนการปราบปรามแหล่งผลิต ซึ่งพล.อ.ไพบูลย์ ก็ค่อนชัดเจน ในเรื่องนี้

นายกิตติพงษ์ กล่าวอีกว่า การปรับยาบ้าจากบัญชียาเสพติดประเภท 1 ลดลงมาเหลือประเภท 2 นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบการแก้ปัญหายาบ้า เป็นการลดระนาบของโทษ เพื่อการช่วยเหลือบำบัดกลุ่มผู้เสพ และผู้เสพ ผู้ค้ารายย่อย ซึ่งต้องมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำควบคู่กันไป สำหรับกฎหมายใหม่ อาจจะต้องมีการกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจน ในเรื่องของกลุ่มผู้เสพ กับกลุ่มผู้เสพรายย่อย ซึ่งหมายถึง เป็นผู้เสพด้วย แต่ขายเพื่อหากำไร ไม่ใช่นักค้ารายใหญ่ ตรงนี้ต้องมีการกำหนด ให้ชัดเจน คงไม่สามารถแยกได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีเครื่องมืออะไรมาแยกกลุ่มเหล่านี้

“บางครั้งคนเสพก็ไปซื้อเอาไว้หลายๆเม็ด เก็บไว้เสพ แต่เมื่อถูกจับกุม เกิน 5 เม็ด ก็ต้องถูกดำเนินคดีทางอาญา เข้าสู่กระบวนการบำบัดไม่ได้ หรือหากเกิน 15 เม็ด กฎหมายก็ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ค้าทันที ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ต้องมีกระบวนการคัดแยกที่ดีมีระบบ”นายกิตติพงษ์ กล่าว

นายกิตติพงษ์ ยังกล่าวว่า จากผลสำรวจของทีไอเจโพล ยังพบว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้เสพยาไม่สมัครใจเข้ารับการบำบัดด้วยตนเอง ร้อยละ 60.0 กลัวถูกดำเนินคดีอาญา หรือขึ้นทะเบียนประวัติอาชญากร รองลงมาคือ ร้อยละ 40.5 กลัวเป็นที่ อับอายเสื่อมเสีย ดังนั้นการปรับแก้กหฎหมายในส่วนนี้จะช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการการบำบัดที่เป็นระบบมากขึ้น ไม่ต้องหลบซ่อนตัวเองและใช้ยาจนปริมาณที่เกินเลยไม่ได้อยู่การควบคุมของแพทย์ กลายเป็นปัญหาสังคมก่อเหตุรุนแรง ทั้งนี้ตนสนับสนุนแนวคิดของพล.อ.ไพบูลย์ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนระบบการแก้ปัญหาเสพสติด ต้องยอมรับว่าเรื่องดังกล่าว ต้องการผู้นำที่กล้าคิด กล้าเปลี่ยน เพราะเป็นสิ่งสังคมต้องวิพากาษ์วิจารณ์ หากเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จใน ยุคที่พล.อ.ไพบูลย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็จะเป็นบันทึกหน้าใหม่ของระบบงานยุติธรรม ทั้งนี้ผลสำรวจของทีไอเจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.1 ระบุ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลและหน่วยงานของ รัฐควรจะปฏิรูปการปฏิบัติต่อผู้เสพยาเสพติด