เคยได้ยินแต่สำนวน “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส”
ในชีวิตจริง รัฐบาลนี้สลัดทิ้งโอกาสจนเกิด “วิกฤต”
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้เสียชีวิตในประเทศไทยหยุดนิ่งมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว
ถึงจะมีการชุมนุมทางการเมืองมีคนเข้าร่วมนับหมื่นนับแสน “โควิด-19” ก็ไม่ได้คุกคามแม้แต่น้อย
รัฐบาลนิ่งนอนใจ สั่งจอง “วัคซีน” โควิดจากโรงงานเดียว ยี่ห้อเดียว แค่ 26 ล้านโดส
ตัวเลข 26 ล้านโดส ไม่ได้อธิบายอะไรเลยเพราะถ้าฉีดได้แค่ 13 ล้านคน หรือร้อยละ 18-19 ของจำนวนประชากรก็ไม่เพียงพอที่จะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ปกป้องชีวิตประชาชนในอนาคต
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงหลงอยู่มุมมองที่มืดมิดให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ที่สั่งจองวัคซีนน้อยนั้นไม่ใช่เพราะจองช้าหรือจองน้อยเกินไป แต่เพราะไม่อยากให้ประชาชนเสี่ยง
การคุกคามที่บางเบาจากโควิด-19 ในประเทศไทยไม่ได้ถูกใช้เป็น “โอกาส” ในการเร่งมือฟื้นฟูเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน แต่กลับทำให้ผู้นำไทยมืดบอด มองไม่เห็นอนาคต !
ต่างกับประเทศที่ผู้นำซึ่งมี “ความรู้สึกที่ดี” และมีวิสัยทัศน์
“แคนาดา” สั่งจองวัคซีนคิดเป็น 330% ของประชากร “สหราชอาณาจักร” สั่งจอง 302% ของประชากร นิวซีแลนด์ 246% ออสเตรเลีย 230% นอร์เวย์ 183% อเมริกา 169% ฮ่องกง 137% อิสราเอล 137% ในเวลาเดียวกับที่ไทย 18-19%
ประเทศที่เจริญแล้วจองวัคซีนท่วมจำนวนประชากร
จองก่อนได้รับวัคซีนก่อน ได้ฉีดวัคซีนก่อนและจะเกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” ก่อน
ที่อู่ฮั่น ที่สหราชอาณาจักร ที่อเมริกา ที่อิสราเอล จึงเปิดเมืองก่อน เปิดหน้ากากอนามัยก่อน จัดคอนเสิร์ตกลางแจ้งจัดเทศกาลดนตรีกันก่อนเพราะฉีดวัคซีนกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วถึงต้นปีนี้
ลองจินตนาการดูว่า ถ้าไทยมีรัฐบาลที่มี “ความรู้สึกนึกคิดที่ดี” มีวิสัยทัศน์ รับฟังอย่างมีสติ ใช้ปัญญาคิดวางแผนเผชิญเหตุแก้ไขวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ “ไทย” ก็มี “ภูมิคุ้มกันหมู่” เกิดขึ้นแล้ว
แต่ไทย “ไม่พร้อม” และไทย “ไม่มี” ผู้นำประเภทนั้น ประชาชนจึงต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม
ในวันนี้ ปีนี้ เดือนที่ 5 กลายเป็นวันที่ไทยมี “ผู้ติดเชื้อโควิด” รายวันกับ “ตายรายวัน” สูงสุดจนชวนสยอง
กว่าจะ “เริ่มฉีดวัคซีน” ให้คนส่วนใหญ่ได้ก็ในเดือน 8
ไม่รู้จะต้องตายกันอีกเท่าไหร่ !?!!
