คนกรุงระทึก แคมป์คนงานย่านหลักสี่ ติดโควิดสายพันธุ์อินเดีย 36 คน มาจากไหน-จะคุมอยู่หรือไม่

คนกรุงระทึก แคมป์คนงานย่านหลักสี่ ติดโควิดสายพันธุ์อินเดีย 36 คน มาจากไหน-จะคุมอยู่หรือไม่

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม จับตาดูว่าโควิดสายพันธุ์อินเดียที่พบผู้ติดเชื้อจากแคมป์คนงานก่อสร้างย่านหลักสี่ 36 คนจะแพร่กระจายติดเชื้อมากขึ้นแค่ไหน เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่ติดเชื้อได้ง่าย อีกทั้งต้องรอการสอบสวนโรคว่าสายพันธุ์อินเดียนี้เข้ามาถึงใจกลางกรุงเทพฯได้อย่างไร

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด- 19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ตรวจรหัสพันธุกรรมจากตัวอย่างที่ส่งมาจากแคมป์คนงานก่อสร้าง และบริเวณใกล้เคียงในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 80 ตัวอย่าง พบว่าเป็นสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) จำนวน 36 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 21 ราย คนงานชาวเมียนมา 10 ราย และกัมพูชา 5 ราย ที่เหลือเป็นสายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) และยังมีตัวอย่างจากการค้นหาเชิงรุก จากพื้นที่อื่นในกรุงเทพฯ อีก 2 แห่ง แต่พบเป็นสายพันธุ์อังกฤษทั้งหมด

“ขณะนี้ในประเทศไทย เชื้อที่พบจะเป็นสายพันธุ์อังกฤษ ร้อยละ 87 เพิ่งตรวจพบสายพันธุ์อินเดีย และจะได้ขยายการนำตัวอย่างจากคลัสเตอร์อื่นๆ มาตรวจรหัสพันธุกรรม เพื่อดูการกระจายตัวต่อไป ซึ่งจากข้อมูลของ Public Health England พบว่าสายพันธุ์อินเดียมีการแพร่กระจายได้ค่อนข้างรวดเร็ว คล้ายกับสายพันธุ์อังกฤษ แต่ยังไม่พบหลักฐานที่มีผลต่อความรุนแรง หรืออัตราการเสียชีวิต และยังตอบสนองต่อวัคซีนได้อยู่ จึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป” อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯกล่าว

นพ.ศุภกิจกล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์ฯ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการที่สามารถทำการตรวจรหัสพันธุกรรมได้ จะร่วมมือกันเฝ้าระวังสายพันธุ์ที่น่าห่วงกังวล (Variant of Concern) คือสายพันธุ์อังกฤษ, อินเดีย, แอฟริกาใต้ และบราซิล ต่อไป ซึ่งห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถตรวจรหัสพันธุกรรม แบบทั้งตัว (Whole Genome Sequencing) ได้สัปดาห์ละ 384 ตัวอย่าง ซึ่งมากกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก ต้องการสัปดาห์ละ 150 ตัวอย่าง โดยจะเก็บมาจากทุกส่วนของประเทศ และกรณีต้องการทราบผลเร็วก็สามารถตรวจแบบ Targeted Sequencing ซึ่งใช้เวลา 1-2 วันอีกด้วย

Advertisement

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า กทม.ตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในแคมป์คนงานหลักสี่ มีคนงาน 15 ราย เจอเชื้อสายพันธุ์อินเดีย B1.617.2 ซึ่งอยู่ในการดูแลของโรงพยาบาลอย่างดี และส่งทีมสอบสวนโรคลงไปดูแลเรื่องควบคุมป้องกันการติดเชื้อต่อไป โดยสายพันธุ์อินเดีย เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดจำนวนมาก ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค จะให้ข่าวในเชิงลึกต่อไป

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย B1.617.2 ภายในแคมป์คนงาน ย่านหลักสี่ มาจากการนำตัวอย่างทั้งหมด 61 ตัวอย่าง ไปตรวจหาสายพันธุ์ พบว่ามี 15 ตัวอย่าง/ราย เป็นสายพันธุ์ตรงกับสายพันธุ์อินเดีย ในจำนวนนี้เป็นเพศชาย 7 ราย หญิง 8 ราย อายุเฉลี่ย 46 ปี จำนวนนี้เป็นคนงานในแคมป์ก่อสร้าง 12 ราย อีก 3 ราย เป็นผู้สัมผัสโรคร่วมบ้านกับคนในแคมป์ ส่วนใหญ่มีอาการน้อย ขณะนี้เข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว

Advertisement

“เบื้องต้นที่ทราบกลุ่มดังกล่าวไม่ได้เป็นแรงงานผิดกฎหมาย อยู่ในประเทศไทยมาระยะหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่อาศัยในแคมป์ มีออกมาข้างนอกบ้าง ทั้งนี้ ต้องสอบสวนคุมควบโรค เร่งรัดติดตามผู้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 15 รายนี้อย่างเข้มข้น” นพ.โอภาสกล่าว

นพ.โอภาสกล่าวว่า สายพันธุ์อินเดียมีการระบาดมากในประเทศอังกฤษ โดยผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษ พบว่า สายพันธุ์อินเดียแพร่กระจายโรคไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อังกฤษ แบบมีนัยยะสำคัญ ความรุนแรงของโรคก็ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าสายพันธุ์อินเดียรุนแรงกว่าสายพันธุ์อังกฤษ และสายพันธุ์อินเดีย ยังไม่ดื้อกับวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ยังป้องกันสายพันธุ์อินเดียรวมถึงสายพันธุ์อังกฤษได้ เพราะที่อังกฤษมีการระบาดของ 2 สายพันธุ์นี้ แต่มีการฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ จำนวนมากทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง

ผู้สื่อข่าวถามถึงที่มาของสายพันธุ์อินเดียที่พบครั้งนี้ นพ.โอภาสกล่าวว่า เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน พบสายพันธุ์นี้ในสถานกักกันโรค เป็นคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศปากีสถาน เราทราบกันว่าสายพันธุ์นี้กระจายไปทั่วโลกพอสมควร จึงมีโอกาสหลุดลอดเข้ามาได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นไปได้ทุกช่องทาง แต่การระบุว่าจากทางไหน ต้องใช้ข้อมูลจาก 2 ส่วน คือ การถอดรหัสพันธุกรรมของเชื้อทั้งตัวเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ และใช้ข้อมูลระบาดวิทยาประกอบกัน เพื่อจะสรุปได้อย่างชัดเจนว่าเชื้อมาจากที่ใด ขณะนี้ยังไม่ขอสรุปว่ามาจากทางใด

เมื่อถามว่า สายพันธุ์อินเดียมีผลกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคอย่างไร นพ.โอภาสกล่าวว่า ข้อมูลวัคซีนชิโนแวค รวมถึงข้อมูลที่รวบรวมเพื่อเทียบเคียงจากหลายประเทศ พบว่าน่าจะยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์อินเดีย แต่จะตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image