ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
กลายเป็นข่าวชวนตื่นตระหนก หลังเกิดการระบาดของไวรัสซิกาในประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ตัวเลขผู้ป่วยพุ่งขึ้นตลอด
บ้านใกล้เรือนเคียงอยางประเทศไทยจึงวิตกว่าจะมีโอกาสเกิดการระบาดใหญ่หรือไม่
ไม่ใช่อาการวิตกที่ไร้เหตุผล เพราะปรากฏข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหภาพยุโรป (European Center for Disease Prevention and Control: ECDC) จัดให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสซิการะดับสีแดง
หมายถึง มีการแพร่กระจายของโรคอย่างกว้างขวางในช่วง 3 เดือน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดย นพ.อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค ต้องออกมาทำความเข้าใจเรื่องนี้ว่า การจำแนกของอีซีดีซีต่างจากการจำแนกขององค์การอนามัยโลก ข้อมูลที่อีซีดีซีใช้ เป็นข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ หนำซ้ำไม่เคยมาสอบถามกับประเทศไทยเลย เป็นเพียงนำข้อมูลที่ปรากฏผ่านสื่อต่างๆ เท่านั้น
ดังนั้น ขอให้การจำแนกพื้นที่ระบาดขององค์การอนามัยโลกเป็นหลัก เพราะหลักเกณฑ์การจำแนกเป็นมาตรฐาน ที่สำคัญประเทศไทยไม่ได้มีการระบาดในวงกว้าง เป็นการพบผู้ป่วยรายพื้นที่ ซึ่งสามารถควบคุมได้
ในเรื่องการจำแนกพื้นที่ระบาดนั้น นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค บอกว่า มีหลายหน่วยงานที่ทำการจำแนกเรื่องดังกล่าว ทั้งองค์การอนามัยโลก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหภาพยุโรป หรือแม้แต่ของสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันประเทศไทยจะอิงขององค์การอนามัยโลกเป็นหลัก เพราะเป็นมาตรฐานสากล โดยองค์การอนามัยโลกจะจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มพื้นที่ มีพื้นที่สีเทา สีน้ำเงิน สีน้ำเงินเข้ม ซึ่งประเทศไทยอยู่ในกลุ่มที่ 2 สีน้ำเงิน ซึ่งพบผู้ป่วย แต่ไม่ระบาดในวงกว้าง ขณะที่สีน้ำเงินเข้มจะเป็นการระบาดใหญ่ เช่น บราซิล เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มพื้นที่ใด ไม่อยากให้กังวล หรือไปพะวงกับตัวเลขผู้ป่วยอย่างเดียว เพราะจริงๆ แล้ว ไวรัสซิกาไม่ใช่โรคอันตราย แต่ที่กังวลคือ หญิงตั้งครรภ์ที่อาจคลอดทารกและพบว่ามีศีรษะเล็กได้ ซึ่งตรงนี้องค์การอนามัยโลกระบุว่าอาจเชื่อมโยงกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ สธ.กำลังเฝ้าระวัง
โดยกรมควบคุมโรคมีคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด ในการติดตามเรื่องนี้ว่าเด็กศีรษะเล็กมีจำนวนเท่าใด และมีสาเหตุจากอะไร เพราะที่ผ่านมาไม่มีการรวบรวมข้อมูล ขณะเดียวกัน กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค และราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ก็ได้ทำคู่มือให้กับโรงพยาบาล และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศ เพื่อทำการคัดกรอง รวมทั้งการขึ้นทะเบียนกรณีทารกมีความพิการแต่กำเนิดว่า หากมีศีรษะเล็ก ต้องสอบสวนโรคเพื่อหาสาเหตุต่อไป
นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ.กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกาไม่ใช่โรคร้ายแรงที่ทำให้เสียชีวิต แต่มีผลต่อหญิงตั้งครรภ์ ทำให้ทารกเกิดมาอาจมีความพิการศีรษะเล็ก ส่งผลถึงพัฒนาการของเด็ก และมีผลต่อผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่เรื่องการตรวจเข้มข้นทางสูตินรีเวชนั้นเบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดต้องทำทั้งประเทศ แต่จะเน้นพื้นที่ที่พบผู้ป่วยเป็นหลักก่อน
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าปัจจุบันยังไม่พบการระบาดเป็นวงกว้างในประเทศไทย
สิ่งสำคัญจึงอยากขอความร่วมมือจากประชาชนและชุมชนในการดำเนินการตามมาตรการ 3 เก็บ คือ เก็บบ้าน เก็บขยะรอบบ้าน และเก็บน้ำ ซึ่งหมายถึงการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งตอนนี้พ้นจากช่วงที่มีการรณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลายไป แต่จากการสำรวจพบว่า ยังมีปริมาณลูกน้ำยุงลายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 60 โดยเฉพาะในวัด โรงเรียน ยังพบลูกน้ำยุงลายอยู่มาก
“ขอความร่วมมือกันในการกำจัดลูกน้ำยุงลายด้วย ซึ่งจะป้องกันได้ทั้งโรคซิกา โรคชิคุน กุนยา และไข้เลือดออก นอกจากนี้ ขอให้นอนกางมุ้ง และหมั่นทายากันยุงโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงหญิงวัยเจริญพันธุ์และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งไม่ต้องกังวลว่า การทาครีมกันยุง หรือยากันยุงในหญิงตั้งครรภ์ จะมีผลกระทบต่อลูกในท้อง เนื่องจากไม่กระทบ หากกังวลก็ใช้เป็นผลิตภัณฑ์จากตะไคร้แทน” ปลัด สธ.กล่าว
ส่วนที่มีการแยกสายพันธุ์ไวรัสซิกาของไทย เป็นสายพันธุ์เอเชีย และจะมีความรุนแรงแตกต่างจากสายพันธุ์ละตินอเมริกาหรือไม่นั้น นพ.โอภาสให้ความรู้ว่า ยังไม่มีข้อมูลตรงนี้ คงต้องมีการศึกษาต่อไป ไม่ใช่แค่รอข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกอย่างเดียว แต่ประเทศไทยก็ต้องศึกษาเรื่องนี้เองด้วย อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญของไวรัสซิกา ไม่ควรไปหวาดวิตกเกินเหตุ แต่ควรตระหนัก และเฝ้าระวังอย่างรอบด้าน เนื่องจากไวรัสซิกา มียุงลายเป็นพาหะ ก็ต้องกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยไวรัสซิกามีระยะฟักตัวประมาณ 3-12 วัน แต่อาจเพิ่มเติมได้ถึง 14 วัน ซึ่งอาการหลังได้รับเชื้อจะมีผื่นแดง มีไข้ ปวดศีรษะ เยื่อบุตาอักเสบ ปวดข้อ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเฉพาะ เป็นการรักษาตามอาการ ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นใน 4-5 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์
ไวรัสชนิดนี้ หากอยู่ในสถานการณ์ที่มีการระบาดอาจมีผู้ติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 73 ประมาณร้อยละ 18 ของผู้ติดเชื้อแสดงอาการ อาการที่มักพบบ่อยคือ ไข้ผื่น ปวดข้อ ตาแดง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปวดศีรษะ อาการป่วยมักจะปรากฏอยู่เพียง 4-5 วัน และมักจะมีอาการไม่เกิน 1 สัปดาห์ อาการรุนแรงถึงขั้นต้องรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาลพบน้อย พบผู้ป่วยเสียชีวิตน้อยมาก
ทั้งนี้ ในส่วนของความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ในการเฝ้าระวังนั้น สธ.ได้ขอความร่วมมือกับทางกระทรวงมหาดไทย ในการเฝ้าระวังในแต่ละพื้นที่ร่วมกัน โดยผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัด และในพื้นที่ ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชนร่วมกันเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นต่อไป