ที่มา | มติชนรายวัน |
---|
นายสรายุทธ กันหลง ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยกรณี ทพ.เผด็จ พูลวิทยกิจ 1 ใน 4 ผู้ค้ำประกัน ทพญ.ดลฤดี จำลองราษฎร์ อดีตอาจารย์คณะทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ขอทุนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้โพส์เฟซบุ๊กระบายความในใจกรณีต้องชดใช้หนี้จำนวน 2 ล้านบาทจากการเซ็นค้ำประกันให้ ทพญ.ดลฤดี หลังจากที่ ทพญ.ดลฤดีเรียนจบแล้วไม่ยอมกลับมาทำงานใช้ทุน และไม่ยอมชำระเงินชดใช้ทุน ทำให้ ทพ.เผด็จและผู้ค้ำรวม 4 คนต้องใช้หนี้จากการเซ็นค้ำประกันจำนวน 8 ล้านบาท โดยอัยการสูงสุดได้ฟ้องล้มละลายไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 และนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 14 มีนาคม 2559 ล่าสุดทาง ทพ.เผด็จได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ตั้งกรรมการสอบสวน ทพญ.ดลฤดีแล้วว่า จากที่มีข่าวว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดตั้งคณะกรรมการสอบสวน ทพญ.ดลฤดี แล้วนั้น คาดว่าน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร
นายสรายุทธ กล่าวอีกว่า เพราะจากการที่ตนส่งอีเมล์ถึงเมลิสสา บรอดริก ซึ่งเป็นผู้ตรวจการ (Ombudsperson) ของคณะทันตแพทย์ฮาร์วาร์ด ได้รับคำตอบว่า “ในฐานะผู้ตรวจการ จะส่งข้อห่วงใยของคุณไปให้ผู้บริหารคณะทันตแพทย์ฮาร์วาร์ด โดยไม่เปิดเผยชื่อ ทั้งนี้จะไม่ติดสื่อสารผ่านทางอีเมล์ แต่ยินดีจะติดต่อกลับถ้าคุณต้องการจะคุยด้วย”
นายสรายุทธกล่าวต่อว่า ดังนั้นคำตอบจากผู้ตรวจการ คือ 1.ผู้ตรวจการ จะส่งต่อให้คณะผู้บริหารของคณะทันตแพทย์ฮาร์วาร์ด โดยไม่เปิดเผยชื่อตน และ 2.โดยปกติผู้ตรวจการ จะไม่รับติดต่อทางอีเมล์ แต่โทรมาหาได้ ฉะนั้นตนมองว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ข่าวที่ออกมาว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือที่มีข่าวทางอินเตอร์เน็ตว่าจะปลดออกจาก leadership ของคณะทันตแพทย์ฮาร์วาร์ดจึงน่าจะคลาดเคลื่อน
“ผมเป็นแค่คนหนึ่งที่อีเมล์หาผู้ตรวจการเมลิสสาและได้รับอีเมล์ตอบกลับ และผมก็เชื่อว่าทุกคนที่ได้รับอีเมล์ตอบกลับจากเมลิสสา ก็น่าจะได้รับคำตอบในลักษณะเดียวกัน ฉะนั้นผมมองว่าอาจทำให้คนไทยคาดหวังสูงจากความคลาดเคลื่อนนี้ว่าฮาร์วาร์ดได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบแล้ว และอาจผิดหวังถ้าผู้ตรวจการไม่ตอบกลับ หรือยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ของฮาร์วาร์ดในขณะนี้” นายสรายุทธกล่าว
นายสรายุทธกล่าวต่อว่า ตนอีเมล์หาผู้ตรวจการในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่รู้สึกไม่สบายใจกับการที่ผู้ค้ำต้องมาเดือดร้อนแทนคนที่เบี้ยวทุน และในอีเมล์ ตนยังแสดงความห่วงใยไปด้วยว่าในฐานะศิษย์เก่าฮาร์วาร์ด ตนก็ตอบคนอื่นไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมฮาร์วาร์ดถึงเพิกเฉยต่อประเด็นจริยธรรมเพราะกรณีนี้ไม่ใช่หนี้ส่วนบุคคล แต่เป็นหนี้ทุนรัฐบาลไทย ส่วนตัวเชื่อว่าถ้าฮาร์วาร์ดรู้ว่าเป็นทุนรัฐ ไม่ใช่ทุนนักศึกษา ดังที่ทนายของอดีตอาจารย์ทำหนังสือถึงฮาร์วาร์ดอ้างสิทธิตามกฎหมายสหรัฐ ตนก็ชื่อว่าฮาร์วาร์ดจะไม่รับบุคคลเหล่านี้เข้าทำงานแน่
วันเดียวกัน ทพ.เผด็จโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “แหล่งข่าวในสหรัฐแจ้งมาถึงพวกผม ให้ทำหนังสือถึง มม.ว่า กระผมในนามผู้ค้ำประกันทั้ง 4 คนของ ทพญ.ดลฤดี มีความคิดเห็นตรงกันว่าทาง มม.ได้รับการตอบรับมาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด เพราะเนื่องจากทาง มม.ได้ส่งเรื่องไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะของ ทพญ.ดลฤดีทำงานอยู่ ดังนั้นกระผมในนามผู้ค้ำประกันจึงขอความกรุณาให้ทาง มม.ได้ทำเรื่องและส่งเอกสารไปใหม่ครับ แต่ให้ส่งไปที่ Office รับเรื่องการร้องเรียนของทันตแพทย์ หรือ Ombuds Office แทนครับ ภายใน 2 วันนี้ ซึ่งก็คือภายในวันจันทร์นี้ โดยให้แจ้งเรื่องไปถึง Melissa โดยตรง ที่ Ombuds Office โดยการส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมประทับตรา มม.แล้วส่งแฟกซ์ไปที่…ตามที่อยู่ในรูปด้านล่างโดยด่วน ก่อนจะมีการพิจารณาเกิดขึ้นครับ ดังนั้นพวกผมจึงทำเรื่องไปที่มหาวิทยาลัยและขอเรียกร้องผ่านสื่อด้วย เนื่องจากเป็นวันหยุด กลัวไม่ทัน และในจดหมายที่ส่งไป ควรเปลี่ยนจากคำว่า Scholarship เป็น Student loan ซึ่งจะให้ความหมายถึงภาระการกู้ยืมมากกว่าคำว่า Scholarship พวกผมผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยที่ให้ความกรุณาล่วงหน้า และขอขอบคุณสื่อที่ช่วยนำเสนอด้วยนะครับ ปล. ถ้าอยากให้ช่วยเรื่องเอกสารภาษาอังกฤษบอกผมมาได้ครับ ยินดีประสานคนไทยในอเมริกาให้ช่วยดูให้ได้ครับ”
ด้านคุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และนายกสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ออมบูดซ์ (Ombuds) มีบทบาทเหมือนผู้ตรวจการแผ่นดินของไทย เพียงแต่จะจำกัดขอบเขตอยู่แค่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น โดยขั้นตอนการทำงาน หลังจากมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วจะเรียกผู้ถูกร้องเรียนมาให้ข้อเท็จจริง จากนั้นนำเสนอมหาวิทยาลัยเพื่อพิจารณา ส่วนตัวมองว่าถ้าทางฮาร์วาร์ดมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนจริงก็คงศึกษาถึงผลกระทบต่อมหาวิทยาลัยซึ่งแน่นอนว่าในส่วนของมหาวิทยาลัยไทยได้รับผลกระทบอยู่แล้ว แต่ในส่วนของเขาคงศึกษาถึงผลกระทบว่าในเวลานี้ผู้ถูกร้องเรียนเดือดร้อนแค่ไหน ซึ่งเท่าที่ทราบจากข่าวคือผู้ถูกร้องเรียนตอบอีเมล์ยืนยันว่าจะชดใช้หนี้ เพียงแต่ยังไม่มีเงิน ขอเวลาในการชดใช้คืน แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ตนไม่ทราบ
“เข้าใจว่าออมบูดซ์คงต้องไปตรวจสอบว่าผู้ถูกร้องเรียนมีรายได้ เงินเดือน เพียงพอต่อการผ่อนชำระหรือไม่ ซึ่งต้องสอบเจตนาว่ามีเจตนาที่จะหนีหนี้ หรือตั้งใจที่จะใช้หนี้เพียงแต่ยังไม่มีเงิน ถ้าเพียงพอที่จะผ่อนชำระได้ แต่ไม่ทำ ก็อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรม เรื่องนี้ต้องดูเจตนา แต่เคสจริยธรรมก็ไม่ใช่เรื่องวิชาการ อย่างการโกงข้อสอบ ทางฮาร์วาร์ดจะถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง มีผลถึงขั้นต้องถูกริบใบปริญญาได้ แต่กรณีนี้เนื่องจากไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เข้าใจว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับฮาร์วาร์ดเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีการร้องเรียนประเด็นจริยธรรมไปยังฮาร์วาร์ดมาก่อน ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็ต้องตรวจสอบและพิจารณาว่าจะถือว่าผิดร้ายแรงหรือไม่ เนื่องจากฝรั่งบางคนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ฉะนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับออมบูดซ์ว่าจะพิจารณาอย่างไร” คุณหญิงทรงสุดากล่าว
เมื่อถามว่ามีนักศึกษาทุนเบี้ยวทุนมากน้อยแค่ไหน คุณหญิงทรงสุดากล่าวว่า ภาพรวมโดยทั่วไปได้ยินมาบ้างว่ามีนักศึกษาเบี้ยวทุนรัฐ แต่เป็นลักษณะไม่กลับไปทำงานชดใช้ทุน แต่ทำงานที่ต่างประเทศแล้วชดใช้รัฐด้วยเงินแทน แต่เคสที่ทั้งไม่กลับไปทำงานชดใช้แล้วยังเบี้ยวไม่ชดใช้เงินด้วยนี่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกที่เป็นข่าวใหญ่โตขนาดนี้ กรณีที่เกิดขึ้นตนรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก ในฐานะนายกสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา จึงขอฝากถึงนักเรียนทุนทุกคนว่าอยากให้ดูข้อสัญญาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจรับทุนว่า รับได้หรือไม่กับเงื่อนไขสัญญา ถ้ายังไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งเซ็น แต่เมื่อเซ็นรับทุนแล้วก็ควรต้องปฏิบัติตามสัญญา อย่างลูกชาย 3 คนของดิฉันที่ได้รับทุน ก.พ., ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงพาณิชย์ ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็กลับมาทำงานชดใช้ทุนรัฐครบถ้วนตามสัญญาทั้ง 3 คน แถม 2 ใน 3 ทุกวันนี้ก็ยังทำงานที่แบงก์ชาติและกระทรวงพาณิชย์ เลยระยะเวลาสัญญาการทำงานชดใช้ทุนด้วยซ้ำ เพราะตนย้ำกับลูกชายเสมอว่าต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เมื่อรับทุนไปแล้วต้องกลับมาทำงานชดใช้ทุน