เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวเป็นประธานเปิดอบรม “การเตรียมความพร้อมด้านการวิจัย ดูแลรักษาโรคติดเชื้อไวรัสซิกา(Zika virus disease)” เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคไวรัสซิกา ว่า ปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิกาใน70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเชื้อสามารถกระจายตัวระหว่างภูมิภาคหนึ่งไปอีกภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ เป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น
พญ.พจมาน ศิริอารยาภรณ์ หัวหน้ากลุ่มสอบสวนตอบโต้ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน คาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มของไข้เลือดออกในอนาคตจะลดน้อยลง ส่วนไวรัสซิกามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงในอนาคต ซึ่งไม่สอดคล้องกัน แม้ว่าสถานการณ์ของโรคจะไม่รุนแรง แต่ก็มีกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจจะมีการส่งผลต่อเด็กในครรภ์ โดยการตรวจโรคจะตรวจผ่านปัสสาวะและเลือด ซึ่งทางปัสสาวะจะพบได้มากกว่าทางเลือด แต่ผู้ป่วยบางรายก็ตรวจพบในเลือด จึงทำให้ต้องตรวจควบคู่กันทั้งสองอย่าง ที่ผ่านมาทางสำนักระบาดวิทยา ใช้งบประมาณในการตรวจทั้งหมด 20 ล้านบาท โดยใช้รายละประมาณ 1,500-2,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง จึงไม่สามารถตรวจทุกคนได้ สามารถตรวจได้ในผู้ป่วยยืนยันและญาติที่อยู่ในบ้านเดียวกันรวมไปถึงผู้ที่อยู่ในระแวกที่พบเชื้อเท่านั้น ทั้งนี้เชื้อจะสามารถเพาะตัวได้ใน 28 วัน ผู้ป่วยปกติจึงต้องมีการตรวจซ้ำในระยะ 1 เดือน ส่วนในรายที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ไม่มีกำหนดว่าต้องตรวจกี่ครั้งต้องมีการตรวจเรื่อยๆ เพราะบางรายตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน แต่ยังตรวจพบเชื้ออยู่
“ขณะนี้พบว่ามีหญิงตั้งครรภ์ 33 ราย ในพื้นที่ที่มีการพบการระบาด และพบว่ามีหญิงตั้งครรภ์ 1 ราย ที่ป่วยมาก่อน และตรวจอัลราซาวน์พบว่า ทารกอาจมีศีรษะเล็ก แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัสซิกาหรือไม่ ทั้งนี้ ต้องรอให้คลอดออกมาก่อนจะตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง และอยากให้สามี ระมัดระวังก่อนมีเพศสัมพันธ์ เพราะในเชื้ออสุจิจะสามารถแพร่เชื้อได้ด้วย โดยเชื้อยังอยู่ในอสุจิได้นานถึง 6 เดือน ดังนั้น สามีควรระมัดระวังตัวในการแพร่เชื้อมาสู่ภรรยา โดยควรสวมถุงยางอนามัยเป็นการป้องกันด้วย” พญ.พจมาน กล่าว
