อนุทิน เผยวันมหิดล ฉีดวัคซีนทั่วไทยทะลุล้าน ลุยปักเข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

“อนุทิน” เผย “วันมหิดล” ฉีดวัคซีนทั่วไทยทะลุ 1.3 ล้านโดส ลุยปักเข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 25 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน เป็นวันมหิดลในทุกปีกระทรวงสาธารสุขจะจัดกิจกรรมที่เป็นสาธารณะประโยชน์ต่างๆเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งเป็นพระบิดาการแพทย์แผนปัจจุบัน

“วันมหิดล” พร้อมใจฉีดวัคซีนทั่วไทยกว่า 1.3 ล้านโดส

ในปีนี้ได้มีการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนเนื่องในวันมหิดลให้ครบ 1 ล้านโดสให้กับประชาชนทั่วไป แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจและความตั้งใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนความร่วมมือที่ดีของประชาชนชาวไทยทุกคน ทำให้เมื่อวานนี้สามารถฉีดวัคซีนได้มากกว่า 1.3 ล้านโดส รู้สึกดีใจมากที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพการสาธารณสุขไทย

นับว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่าหากร่วมใจกันมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว ศักยภาพของระบบสาธารณสุข พร้อมที่จะรับใช้และให้บริการกับทุกคนได้ จนถึงเมื่อวานนี้ มีตัวเลขใหม่ให้เกิดความมั่นใจ อุ่นใจต่อประชาชนว่า ได้ฉีดวัคซีนสะสมทั้งหมดทั่วประเทศเกิน 50 ล้านโดสแล้ว มีทั้งฉีดเข็มที่ 1 เข็มที่ 2 และเข็มที่ 3

ขอผู้ฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ปักเข็ม 3 เสริมภูมิคุ้มกัน

โดยเมื่อวานเป็นการเริ่มให้บริการวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 3 แก่ประชาชนที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็มแรก เพื่อเสริมความมั่นใจว่าจะมีภูมิต้านทานอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการรองรับสายพันธ์เดลต้าได้ จึงได้ฉีดบูสเตอร์เข็มที่ 3 เมื่อวานได้ฉีดไปทั้งหมด 1.5 กว่าแสนคนไม่รวมบุคลากรการแพทย์ที่ได้รับบูสเตอร์เข็มที่ 3 ไปก่อนหน้านี้แล้ว

Advertisement

“จากนี้เป็นต้นไปขอให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ตั้งแต่ช่วงมีนาคม-มิถุนายน ขอให้ลงทะบียนนัดรับการฉีดเข็มที่ 3 เพื่อความปลอดภัย เสริมภูมิคุ้มกันโรคให้มีความอุ่นใจว่าปลอดภัยจากการคุกคามของโควิดแน่นอน “

สิ้นปีจัดหาวัคซีน 125 ล้านโดสตามเป้า

นายอนุทินกล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์วัคซีนจากนี้ไปถึงสิ้นปี 2564 ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคได้ทำการจัดหาวัคซีนได้ตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ จะมีวัคซีนทั้งสิ้นจนถึงเดือนธันวาคม ประมาณ 125 ล้านโดส

และตั้งแต่ตุลาคมนี้เป็นต้นไป จะเร่งฉีดให้ครอบคลุมประชาชนคนไทยทุกคน ครบครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร เพื่อจะได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุข และสามารถดำเนินชีวิต เสริมสร้างรายได้ ผลักเศรษฐกิจ สร้างสังคม สร้างความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งของบ้านเมืองให้กลับมาโดยเร็ว

“พวกเรากระทรวงสาธารณสุขทุกคน บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นข้ารับใช้ของสมเด็จพระราชบิดา เราจะสานต่อเจตนารมณ์ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท สืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จบรมราชชนก ซึ่งได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นที่หนึ่ง แล้วความสำเร็จ ลาภ ทรัพย์ เกียรติยศจะตกกับตัวท่านเอง”

“เราไม่ได้มีความมุ่งหวังในลาภทรัพย์ หรือเกรียติยศ แต่เรามีความตั้งใจและมุ่งหวังให้ประชาชนมีควาปลอดภัย มีสุขภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลโรค มีชีวิตยืนยาว และสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคงต่อครอบครัว และประเทศของเรา ผมในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขขอขอบุคณประชาชนชาวไทย มีความร่วมมือในการป้องกันควบคุมโรคให้ปลอดภัย อยู่ห่างจากการคุกคามของโรคโควิด ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขทุกคนที่ได้ทุ่มเทเสียสละอย่างไม่รู้จัเหน็ดเหนื่อยในการให้บริการ ทั้งเรื่องการรักษา พยาบาลป้องกัน ควบคุมโรค การฉีดวัคซีน มั่นใจว่าทุกคนจะไม่ท้อถอย ตั้งใจที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ จนเราจะเอาชนะมันได้มากที่สุด”

สิ้นก.ย.เริ่มปักไฟเซอร์กลุ่มเด็ก 12-18 ปี

นายอนุทินกล่าวอีกว่า ตอนนี้วัคซีนจะมีทยอยเข้ามาอย่างมีจำนวนมากเพียงพอที่จะเร่งฉีดให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกกลุ่มได้ โดยเฉพาะวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์ที่รัฐบาลได้จัดหามาทั้งหมด 30 ล้านโดส จะทยอยเข้ามาตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายนนี้ถึงสิ้นปีนี้

โดยจะฉีดให้เด็กอายุ 12-18 ปีที่อยู่ในวัยเรียน ให้ผู้ปกครองพิจารณาให้เด็กๆ ได้มารับวัคซีนไฟเซอร์ สามารถเพื่อให้เรียนหนังสือได้ และโรงเรียนจะได้เปิดการเรียนการสอบเป็นปกติให้เร็วที่สุด โดยพร้อมฉีดไฟเซอร์ตั้งแต่สิ้นเดือนกันยายนนี้ให้กับนักเรียนในทันทีเพื่อให้ครอบคลุมให้มากที่สุด

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขขอยืนยันว่าการฉีดวัคซีนมีผลประโยชน์คุ้มค่า มากกว่าการไม่ได้รับวัคซีน และวัคซีนที่นำมาให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย มีความปลอดภัย มีมาตรฐานสูง มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ในการป้องกันการคุกคามของโรคโควิดได้ ไม่ว่าการติดเชื้อ แพร่เชื้อ เจ็บป่วย เสียชีวิต การมารับวัคซีนอย่างถ้วนหน้าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำความปลอดภัยให้ตนเองและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด

“เราได้รับความร่วมมือจากประเทศทั้งหลายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเรา ไม่ว่าอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้มีการบริจาควัคซีนจำนวนหนึ่งให้ไทยมาโดยตลอด ส่วนประเทศจีนได้มีการบริจาควัคซีนในประเทศของเขามาให้ประเทศไทยด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการยืมวัคซีนจากประเทศสิงคโปร์ ภูฏาน มีวัคซีนแอส ตร้าเซนเนก้าที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เรามีการเจรจามาใช้ก่อน เมื่อถึงเวลาอันควรเราจะนำวัคซีนเหล่านี้กลับไปคืนเขา มีการบันทึกข้อตกลงอย่างชัดเจน”

ปีหน้าลุยฉีดบูสเตอร์กระตุ้นภูมิ

นายอนุทินกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขได้ทำการยืนยันจัดหาวีคซีนสำหรับปีหน้า ขอให้มีความมั่นใจว่า วัคซีนที่เตรียมจัดหาไว้ในปีหน้าจะมีความเพียงพอแน่นอน และจะเป็นวัคซีนที่นำมาใช้ฉีดกระตุ้นภูมิ เพราะไม่จำเป็นต้องฉีด 2 เข็มอย่างปีนี้อีกต่อไป

โดยจะเป็นการฉีดกระตุ้นภูมิให้ประชาชนไปเรื่อยๆจนกว่าสถานการณ์โควิดจะดีขึ้น มีความสามารถลดการคุกคาม ลดความรุนแรง เพราะมีวัคซีนป้องกันการแพร่เชื้อได้ดี จนควบคุมสสถานการณ์ได้ในที่สุด

คาดอีกไม่นานควบคุมสถานการณ์ได้

แนวโน้มทั้งหลายเป็นไปด้วยดี ขอย้ำว่าขอให้ความยืนยันว่าบุคลากรแพทย์ทุกคน ไม่ว่าจะสังกัดหรือนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเทพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยจากการคุกคามโจากควิด เรามีความคาดหวังว่าจะควบคุมสถานการณ์ในเวลาไม่นานจากนี้ไป

“วันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นในหลายๆมิติแล้วว่า ขีดความสามารถต่างๆในการให้บริการกับประชาชนไม่ว่าวัคซีน รักษาพยาบาล เรื่องยาเวชภัณฑ์ต่างๆ เรายังมีความพร้อมอยู่เสมอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือของประชาชนจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีที่สุด” นายอนุทินกล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image