สธ.เผยยอดป่วยหนักเริ่มลด เปิดแผนนำเข้าวัคซีน 152 ล้านโดส ลั่น ก.ย.-ต.ค.ฉีดก้าวกระโดด

สธ.เผยยอดป่วยหนัก-ใส่เครื่องช่วยหายใจเริ่มลด เปิดเแผนนำเข้าวัคซีน 152 ล้านโดส ลั่น ก.ย.-ต.ค.ฉีดก้าวกระโดด

เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 25 กันยายน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ผลการฉีดวัคซีนเมื่อวันที่ 24 กันยายนเป็นที่น่าชื่นใจ แม้ว่าบุคลากรจะเหนื่อยล้าไปบ้าง แต่ทุกคนมีความสุขที่ทำความสุขทำประโยชน์ให้กับประชาชน

ประเทศไทยฉีดวัคซีนมาถึงครึ่งทางแล้ว 50 ล้านโดส

โดยมียอดฉีดได้ 1,300,677 โดส แยกเป็นเข็ม 1 จำนวน 841,769 โดส เข็มที่ 2 จำนวน 309,429 โดสและเข็มที่ 3 จำนวน 149,479 โดส ซึ่งมีการกระจายการฉีดไปทั่วประเทศ มียอดฉีดสูงสุดคือเขตสุขภาพที่ 6 จำนวน 104,739 โดส

หากแบ่งรายจังหวัด มากสุดคือกรุงเทพฯ 64,880 โดส รวมศูนย์กลางบางซื่อ รองลงมาชลบุรี 48,316 โดส อุดรธานี 47,110 โดส นครราชสีมา 44,863 โดส เชียงใหม่ 39,214 โดส ขอนแก่น 37,453 โดส สมุทรปราการ 32,243 โดส บุรีรัมย์ 31,118 โดส ร้อยเอ็ด 30,282 โดส และอุบลราชธานี 28,764 โดส

“ภาพรวมการครอบคลุมวัคซีน ตอนนี้ประเทศไทยได้ เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว โดยนโยบายและเป้าหมายของรัฐบาล ตอนแรกจะฉีดให้ได้ 100 ล้านโดสครอบคลุมประชากร 50 ล้านคน ปัจจุบันฉีดได้แล้ว 50 กว่าล้านโดส เมื่อจัดหาวัคซีนได้เพิ่ม จะฉีดกับทุกคนให้ได้ภูมิคุ้มกัน ขณะนี้เข็ม 1 ฉีดได้ 44.45% ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร “

Advertisement

แนวโน้มป่วยหนัก-ใส่เครื่องช่วยหายใจลดลง

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์การติดเชื้อโควิดในวันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้าน 14,700 คน ทำให้ยอดสะสมที่หายป่วยอยู่ที่ 1.4 กว่าล้านคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,975 ราย มาจากต่างประเทศ 19 คน เป็นการติดเชื้อในประเทศ 11,956 คน ซึ่งมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ทำให้มีผู้ป่วยอาการหนักหรือปอดอักเสบเหลืออยู่ที่ 3,323 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 729 ราย ลดลงตามลำดับเทียบกับต้นเดือนกันยายน

สำหรับผู้เสียชีวิตมีรายงาน 127 คน ทางกระทรวงสาธารณสุขจะพยายามลดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยใช้มาตรการการฉีดวัคซีน อย่างที่ทราบว่าที่ไทยใช้อยู่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลกและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีประสิทธิภาพในการป้องกัน การป่วย การเสียชีวิตที่ดีมาก ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือสนใจที่จะมาฉีดด้วยความสมัครใจมากยิ่งขึ้นจะทำให้ควบคุมสถานการณ์ ลดการเสียชีวิตได้มากที่สุด

Advertisement

ก.ย.-ค.ค.ยอดฉีดวัคซีนพุ่งก้าวกระโดด

นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า สำหรับแผนการจัดหาวัคซีน 152.9 ล้านโดส ตามแผนตั้งแต่เดือนมิถุนายนจะทำให้ฉีดได้มากขึ้น โดยเฉพาะเดือนกันยายน-ตุลาคม จะฉีดสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ในเดือนกันยายนมีวัคซีนฉีดเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นซิโนแวค แอสตร้าเซนเนกาและไฟเซอร์ ประมาณ 16 ล้านโดส และเป็นวัคซีนทางเลือกที่หน่วยงานอื่นนำเข้ามาไม่ว่าซิโนฟาร์มอีก 10 กว่าล้านโดสทำให้ยอดฉีดมีค่อนข้างมาก

สำหรับเดือนตุลาคมจะมีวัคซีนเข้ามาอีกอย่างน้อย 24 ล้านโดส มีซิโนแวค 6 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนกา 10 ล้านโดส ไฟเซอร์ 8 ล้านโดส ยังมีซิโนฟาร์มอีก 6 ล้านโดส

เดือนพฤศจิกายน จำนน 23 ล้านโดส มีแอสตร้าเซนเนกา13 ล้านโดสและไฟเซอร์ 10 ล้านโดส เดือนธันวาคม จำนน 24 ล้านโดส มีแอสตร้าเซนเนกา 14 ล้านโดส ไฟเซอร์ 10 ล้านโดส ยังมีของโมเดอร์นาอีก 2 ล้านโดส

ตั้งเป้าธ.ค.ปักเข็มแรก 85% เข็มที่ 2 อีก 74%

นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนในเดือนตุลาคม-ธันวาคม หลังปรับนโยบายการฉีดวัคซีน เรียกว่าฉีดสูตรไขว้ โดยฉีดซิโนแวคเข็มแรกและแอสตร้าเซนเนกาเข็มที่2 ทำให้ฉีดเข็มที่2 ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ตามแผนสิ้นเดือนกันยายนจะฉีดเข็มที่1 ฉีดสะสม 32 ล้านคน หรือ 45% ตุลาคม 41 ล้านคนหรือ58% พฤศจิกายน 50 ล้านคนหรือ 71% ธันวาคม 60 ล้านคนหรือ 85%

ส่วนเข็มที่2 สิ้นเดือนกันยายน ฉีดสะสม 18 ล้านคน หรือ 25% ตุลาคม 30 ล้านคนหรือ 45% พฤศจิกายน 42 ล้านคนหรือ 60% และธันวาคม 52 ล้านคนหรือ 74% เกินจากเป้าหมายที่วางแผนไว้ ถ้าฉีดได้ตามเป้าจะทำให้สถานการณ์การติดเชื้อ เสียชีวิตลดน้อยลง ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด

ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขมีโยบายให้ความสำคัญกับการฉีดเข็มกระตุ้นเข็มที่3 เป็นอย่างมาก อย่างที่ทราบวัคซีนที่ฉีดเป็นวัคซีนใหม่ คนไม่ค่อยรู้คือหลังฉีดไปแล้วภูมิคุ้มกันจะลดลงเมื่อไหร่ ช่วงฉีดใหม่ๆภูมิคุ้มกันยังสูง ป้องกันเชื้อโรคได้ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันวัคซีนทุกชนิดจะลดลง แม้ว่าจะสามารถป้องกันการเสียชีวิตได้ดี แต่ภูมิคุ้มกันอาจจะมีประสิทธิภาพลดน้อยลง

“จึงเป็นอีกมาตรการที่กระทรววงสาธารณสุขให้ความสำคัญ คนที่ฉีดครบ 2 เข็มไปแล้วช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน กระทรวงจะแจ้งให้มาฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดการติดเชื้อและเสียชีวิตต่อไป ขอให้ความร่วมมือมาฉีด เราเชื่อว่าถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนจะทำให้ประเทศไทยเราเข้าสู่ประเทศที่มีความปลอดภัยจากโควิดอีกประเทศหนึ่งในโลก”นพ.โอภาสกล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image