ภาคประชาชน 649 รายชื่อ 88 องค์กร ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง ‘ป้อม’ ขอทบทวนอีไอเอผันน้ำโขง เลย ชี มูล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (11 ตุลาคม) เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน เปิดเผยถึงกรณีที่ภาคประชาชน 649 รายชื่อ 88 องค์กร ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ให้ทบทวนอีไอเอผันน้ำโขง เลย ชี มูล ระบุว่า วันนี้ 11 ต.ค.64 ภาคประชาชน จำนวน 649 รายชื่อ และ 88 องค์กร นำโดยเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน ได้มีจดหมายเปิดผนึกส่งถึง พล.อ.ประวิตร เพื่อคัดค้านรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ โครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ระยะที่ 1
โดยเห็นว่าเป็นการดำเนินการทำรายงานที่ไม่ชอบธรรม ขาดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างรอบด้านจากประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ พร้อมกับมีข้อเรียกร้องให้มีการทบทวนรายงานอีไอเอฉบับดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
รายงานนี้ไม่เข้าใจและไม่ได้กล่าวถึงมิตินิเวศวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ใช้งบประมาณจำนวนมาก และมีผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนจำนวนมาก ดังนั้น การประเมินผลกระทบควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรมชลประทานได้ทำการศึกษาโครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) โครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 โดยการพัฒนาระยะที่ 1 แล้วเสร็จเมื่อเดือนเมษายน 2560
เครือข่ายได้รับหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการ 2 ฉบับ จากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ลงวันที่ 16 กันยายน 2564 แจ้งผลเรื่องการพิจารณารายงานโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วงระยะที่ 1 ซึ่งคณะผู้ชำนาญการได้พิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ (คชก.) ได้พิจารณารายงานเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 และมีมติให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. และกรมชลประทาน ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขรายงานดังกล่าว และ สทนช.จะต้องจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมตามมติของ คชก.จนกว่าจะผ่านการพิจารณา
ต่อเรื่องนี้ เราเครือข่ายภาคประชาชน (ดังรายชื่อแนบท้าย) เห็นว่าการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านยุทธศาสตร์ของโครงการดังกล่าวได้ดำเนินอย่างปราศจากกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงของประชาชนในลุ่มน้ำภาคอีสาน ทำให้รายงานนี้ไม่เข้าใจและไม่ได้กล่าวถึงมิตินิเวศวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล ใช้งบประมาณจำนวนมาก ดังนั้น การประเมินผลกระทบควรคำนึงถึงและให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง
เราเครือข่ายภาคประชาชน ซึ่งติดตามโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล มาโดยตลอด จึงขอคัดค้านรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการบริหารจัดการน้ำโขง เลย ชี มูล โดยแรงโน้มถ่วง ระยะที่ 1 เนื่องจากเป็นการดำเนินรายงานที่ไม่ชอบธรรม ขาดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างรอบด้านจากประชาชนที่จะได้รับผลกระทบ และมีความจำเป็นต้องทบทวนรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าวอย่างเร่งด่วน
นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน กล่าวว่า การตัดสินใจของรัฐบาลที่รับฟังข้อมูลด้านเดียว และมีธงอยู่แล้วที่จะผลักดันโครงการโขง เลย ชี มูล ดังนั้น การจัดเวทีรับฟังความเห็นต่างๆ จึงเป็นแค่พิธีกรรมที่อ้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งสิ่งที่เป็นข้อกังวลและคำถามของคนอีสานต่อกรณีโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล คือโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูลนี้มีความคุ้มค่าหรือไม่ที่จะลงทุนหลายหมื่นล้านบาท หรือเป็นแค่การผลาญงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน
“การผันน้ำโขงจะเอาน้ำมาจากที่ไหนผันเข้ามาในภาคอีสาน เพราะเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศจีนสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงกักน้ำไว้ตอนบน และ สปป.ลาว สร้างเขื่อนไซยะบุรีกักน้ำไว้เพื่อปั่นไฟฟ้าขายให้กับประเทศไทย ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงยิ่งลดน้อยลงไปอีก และ สปป.ลาว กำลังมีแผนที่จะสร้างเขื่อนสานะคาม ที่อยู่ห่างจากชายแดนไทย อ.เชียงคาน จ.เลย ประมาณ 2.5 กิโลเมตร คาดว่าถ้าสร้างเสร็จจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างมหาศาล และปริมาณน้ำที่จะลดลงอีก” นายสุวิทย์กล่าว
นายสุวิทย์กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน สทนช.ก็กำลังผลักดันโครงการสร้างเขื่อนปากชม (ผามอง) ที่บริเวณบ้านคกเว้า ต.หาดคัมภีร์ อ.ปากชม จ.เลย กั้นแม่น้ำโขงระหว่างพรมแดนประเทศไทยและ สปป.ลาว เพื่อกักน้ำและยกระดับน้ำให้สูงขึ้นเพื่อให้น้ำเข้าปากแม่น้ำเลย แต่ประชาชนในพื้นที่คัดค้าน นอกจากนี้ ยังมีบทเรียนจากโครงการโขง ชี มูล ที่ผ่านมากว่า 30 ปี โดยการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำมูล ลำน้ำชี ลุ่มน้ำหนองหาน กุมภวาปี จ.อุดรธานี ที่อ้างจะแก้ปัญหาภัยแล้ง แก้น้ำท่วม ตอนนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าโครงการเหล่านี้ล้มเหลวไม่สามารถทำได้ และมีการแพร่กระจายของดินเค็มทั่วภาคอีสาน ส่งผลกระทบด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสูญเสียที่ดินทำกินของพี่น้องชาวอีสาน เช่น เขื่อนราศรีไศล เขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ เขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร เป็นต้น
“ดังนั้น รัฐบาลควรชะลอโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล ออกไปก่อน และให้มีการศึกษาการจัดการน้ำโครงการโขง ชี มูล ที่ผ่านมา ในด้านผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และให้มีการศึกษาร่วมกันระหว่างภาคประชาชน และหน่วยงานรัฐต่อทางเลือกในการจัดการน้ำที่เหมาะสม และสอดคล้องกับระบบนิเวศภาคอีสาน” นายสุวิทย์กล่าว