“ไพบูลย์”ขู่ใช้ม.157 บีบ“มส.-สำนักพระพุทธฯ”ไล่“ธัมมชโย” แนะใช้มติกฎมส.ฉบับที่ 21 แทน

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และนพ.มโน เลาหวณิช อดีตกรรมการปฏิรูปแนวทางฯ แถลงว่า ขอฝากไปถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรุปุญฺโญ) ในฐานะประธานกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อพิจารณาหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ให้ดำเนินการให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก ตามลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของมส.รับรองแล้ว

นายไพบูลย์ กล่าวว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชทรงใช้อำนาจในฐานะสกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีอำนาจบัญชาพระสงฆ์ตามมาตรา 8 แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 โดยพระลิขิตลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2542 โดยมีเนื้อหาเป็นที่เข้าใจว่า พระธัมมชโยเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัพระธรรมกายไปแล้ว และมส.ก็ได้มีมติสนองพระดำริมาโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมายพระธรรมวินัยและกฎของมส. และยังส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติมส. ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระบัญชาและพระประสงฆ์ให้ดำเนินตามกฎของมส. ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ว่าด้วยให้พระภิกษุสละสมณเพศข้อ 4 ซึ่งบัญญัติว่า “มส.มีอำนาจวินิจฉัยให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศได้ ทั้งนี้ไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมที่กำลังดำเนินการอยู่ไม่ว่าในชั้นใดๆ” และข้อ 5 ยังระบุว่า “คำวินิจฉัยให้พระภิกษุสละสมณเพศตามข้อ 3 หรือข้อ 4 ให้เป็นอันถึงที่สุด”

“ดังนั้นเมื่อมีพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงใช้อำนาจในฐานะสกลมหาปริณายกและประธานกรรมการมส. และได้นำเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมมส.และได้มีมติเห็นชอบแล้ว จึงมีผลตามกฎของมส. ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) มาตรา 4 วรรคท้าย ให้อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องสละสมณเพศ และตามข้อ 5 คำวินิจฉัยตามข้อ 3 หรือข้อ 4 ให้เป็นอันถึงที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎมส. สมเด็จช่วงในฐานะประธานมส และกรรมการมส. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่จะต้องติดตามดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องสละสมณเพศตามกฎมส.ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) เช่นเดียวกับกรณีของพระยันตระ อมโร ซึ่งมส.เคยใช้อำนาจวินิจฉัยให้ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้ว หากมส.และสำนักพระพุทธศาสนาไม่ดำเนินการหรือมีการบ่ายเบี่ยงในฐานะหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจจะถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และอาจถูกข้อครหาว่าเป็นการช่วยเหลือให้การสนับสนุนคุ้มครองพระธัมมชโยไม่ให้ต้องปาราชิกพ้นจากความเป็นภิกษุตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ” นายไพบูลย์ กล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการตามพระลิขิตแก่พระธัมมชโยที่ต้องอาบัติปาราชิก ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎของมส. ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม เนื่องจากตามพระวินัยปิฏก เพราะการกระทำนิคหกรรมเป็นการลงโทษแก่ภิกษุผู้ประพฤติผิดตามธรรมวินัย แต่ไม่รวมอาบัติปาราชิก ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎของมส. ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ซึ่งที่ผ่านมาเราพูดเพียงแค่กฎของมส. ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ซึ่งไม่ใช่แล้ว ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ทำตามกฎหมายที่บัญญัติ โดยจากนี้ไปตนจะติดตามว่ามีการปฏิบัติตามหรือไม่ ไม่เช่นนั้นตนจะเป็นผู้กล่าวหาเอง

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image