กรมการแพทย์เผยผลทดสอบยา ‘แพกซ์โลวิด’ กันป่วยหนัก 89% ยันไทยเจรจาผู้ผลิตนานแล้ว
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.อรรถสิทธิ์ ศรีสุบัติ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ แถลงความคืบหน้าการนำเข้ายารักษาโรคโควิด-19 โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และ ยาแพกซ์โลวิด (PAXLOVID) ว่า ตามธรรมชาติของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสร้างกายแล้วจะอาศัยเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ในการเพิ่มจำนวน
ซึ่งยาแพกซ์โลวิดจะเข้ามายับยั้งการการสร้างโปรตีนเอส ไม่ให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่ไวรัสเข้าไปในร่างกายและมีการเพิ่มจำนวนไวรัส จากนั้นจะเปลี่ยนสายพันธุ์กรรมจาก RNA มาเป็น DNA ซึ่งยาโมลนูพิราเวียร์ จะมายับยั้งการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ โดยสรุปคือ ทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่ยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์
นพ.อรรถสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อมูลการศึกษาวิจัยในกลุ่มตัวอย่างที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ 385 คน กินยาขนาด 200 มิลลิกรัม (มก.) วันละ 2 เวลา นาน 5 วัน รวม 40 เม็ด พบว่าลดความเสี่ยงในการนอนโรงพยาบาล (รพ.) ร้อยละ 50 และไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนคนที่กินยาหลอก 377 คน พบว่าเสียชีวิต 8 ราย ส่วนผลการศึกษายาแพกซ์โลวิด ในกลุ่มตัวอย่าง 389 คน กินขนาด 150 มก. 2 คู่กับยาริโทนาเวียร์ ขนาด 100 มก. 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน รวมแล้วจะใช้ยาแพกซ์โลวิดทั้งหมด 20 เม็ด บวกกับยาริโทนาเวียร์ 10 เม็ดต่อคน พบว่าลดความเสี่ยงนอน รพ. และเสียชีวิตภายใน 28 วัน
“ทั้งนี้ หากกินยาดังกล่าวภายใน 3 วัน นับตั้งแต่เริ่มมีอาหาร จะมีประสิทธิภาพลดการนอน รพ. – เสียชีวิต ร้อยละ 89 หากเริ่มกินในวันที่ 5 หลังมีอาการจะมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 85 แต่ทั้ง 2 ถือว่ามีเปอร์เซ็นต์สูง ย้ำ ว่ายาทั้ง 2 ชนิด ออกฤทธิคนละจุดกันจึงไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันว่ายาตัวไหนดีกว่ากัน เนื่องจากเป็นการวิจัยคนละกลุ่มตัวอย่าง แต่ที่แตกต่างกันคือยาแพกซ์โลวิดจะต้องกินคู่กับยาริโทนาเวียร์ด้วย ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นยาที่ไปยับยั้งเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นยาที่เจาะจงต่อเชื้อโควิด-19 โดยตรง” นพ.อรรถสิทธิ์ กล่าวและว่า
“ยาทั้ง 2 ตัว จะใช้ได้ดีในคนที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง เป็นกลุ่มเสี่ยงคือผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป มีโรคเรื้อรัง อาทิ โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ เบาหวาน อ้วน เป็นต้น ในผลการศึกษา ยังไม่มีอาการข้างเคียงรุนแรง ส่วนข้อห้ามใช้นั้น ก็เหมือนกับยาทั่วๆ ไป คือ ยังไม่แนะนำในคนที่มีความผิดปกติของตับรุนแรง ไตรุนแรง เอชไอวี ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมากๆ เนื่องจากยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยในกลุ่มนี้ เบื้องต้นคาดประมาณการณ์ว่า จะต้องใช้เท่าไรนั้น ต้องมีการคำนวนจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน เช่น 1 หมื่นรายต่อวัน คาดว่าจะมีกลุ่มเสี่ยงต้องใช้ยานี้ ประมาณ ร้อยละ 10 หรือ 1,000 คนต่อวัน”
ทั้งนี้ ที่ปรึกษากรมการพทย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดหายาทั้ง 2 ตัว ว่า คาดว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ จะมีการเสนออนุมัติงบการจัดซื้อยาโมนูลพิราเวียร์ และคาดประมาณนำเข้าประเทศไทยได้ประมาณ ปลายเดือนธันวาคม 2564 หรือ เดือนมกราคม 2565 ส่วนยาแพกซ์โลวิด นั้น กรมการแพทย์มีการหารือร่วมกับบริษัท ไฟเซอร์ มาเป็นระยะก่อนผลการวิจัยจะออกมา
โดยครั้งต่อไปจะมีการหารือกันในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ เกี่ยวกับเรื่องของการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย คาดว่าน่าจะเข้ามาช่วงหลังจากยาโมนูลพิราเวียร์ แต่สิ่งที่ทางไฟเซอร์ดำเนินการคู่ขนานอยู่คือ การขออนุญาตขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (เอฟดีเอ) สหรัฐอเมริกา ส่วนเรื่องราคานั้น เป็นเรื่องที่ตอบยังไม่ได้ แต่คาดว่าราคาขายให้กับประเทศกำลังพัฒนาน่าจะถูกกว่าประเทศมหาอำนาจ