โฆษกดีเอสไอ ปัดแทรกแซงศาสนจักร เหตุทวงถามความคืบหน้าผลพระลิขิต กรณีพระธัมมชโย

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยแพร่เอกสารข่าว ชี้แจงกรณีการส่งเรื่องพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชให้มหาเถรสมาคม เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ว่า ประเด็นที่พระโสภณพุทธวิเทศ (จิตติก์ ญาณชโย) เจ้าอาวาสพุทธาราม เมืองเบอร์ลิน ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เพจชื่อ “เจ้าคุณเบอร์ลิน” พาดพิงถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีหนังสือแจ้งไปยังมหาเถรสมาคม (มส.) ให้รื้อฟื้นอธิกรณ์ ที่คณะสงฆ์ได้วินิจฉัยไปแล้ว เพื่อใช้กฎนิคหกรรมปรับอาบัติปาราชิกพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่าได้ใช้อำนาจฝ่ายอาณาจักรแทรกแซงศาสนจักร และเข้าข่ายชักพระสงฆ์เข้าอาบัติ ซึ่งเป็นอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติหนักที่ต้องอาศัยความอนุเคราะห์จากคณะสงฆ์จึงออกจากอาบัติได้) ผิดหลักพระพุทธศาสนา และได้เผยแพร่ข้อความดังกล่าวต่อสาธารณชน นั้น

“ดีเอสไอขอชี้แจงทำความเข้าใจต่อสาธารณชนว่า ต่อกรณีตามข่าวนั้น มีที่มาจากพระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือพระพุทธะอิสระ ยื่นเรื่องให้ดีเอสไอ ตรวจสอบและดำเนินการเรื่องต่างๆ รวม 17 ประเด็น รวมถึงประเด็นร้องขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของพระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือพระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และของเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง ที่อาจกระทำผิดอาญาในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและพระราชบัญญัติสงฆ์ อันมีสาระเกี่ยวกับประเด็นที่ประมาณปี พ.ศ.2542 พระราชภาวนาวิสิทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) หรือ พระไชยบูลย์ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอบสวนดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ หรือจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือทุจริตต่อหน้าที่ และพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องในข้อหาดังกล่าวตกเป็นจำเลยต่อศาลอาญา ในประเด็นเกี่ยวกับการนำเงินของวัดพระธรรมกายไปซื้อที่ดินและโอนเป็นชื่อตนเอง มีการต่อสู้คดีในศาลเกือบ 7 ปี

“จนเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้พนักงานอัยการถอนฟ้องคดีดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่ามีการมอบที่ดินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว ในทางอาญาในข้อหาดังกล่าวถือว่าคดีสิ้นสุดลงตามกฎหมาย แต่ได้มีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า พระราชภาวนาวิสิทธิ์ (สมณศักดิ์ ในขณะนั้น) ต้องอาบัติปาราชิก แต่คณะผู้ปกครองสงฆ์ไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ทางการสืบสวนของดีเอสไอพบว่าที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2542 และมีมติมอบเอกสารพระลิขิตให้เจ้าคณะภาค 1 พิจารณา พระลิขิตดังกล่าวมีการนำเสนอที่ประชุมมหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งที่ 15/2542 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2542 และครั้งที่ 16/2542 เมื่อ 10 พฤษภาคม 2542 โดยที่ประชุมมีมติสนองพระดำริให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม และนอกจากนั้นยังมีมติมหาเถรสมาคมครั้งที่ 193/2542 ที่ให้สนองพระดำริโดยตลอดให้ชอบด้วยกฏหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม อีกด้วย

“ในประเด็นนี้ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 (แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535) มาตรา 8 กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราช ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม และในมาตรา 15 ตรี กำหนดให้มหาเถรสมาคม มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา และมาตรา 13 กำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง ซึ่งตามกฎหมาย สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ในการรับสนองงานตามบัญชาและพระกรณียกิจของพระสังฆราช

Advertisement

“รวมทั้งดำเนินการและประสานงานกับคณะสงฆ์ในการลงนิคหกรรมและตรวจตราถวายคำแนะนำแก่พระภิกษุ สามเณร  และเมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงที่พบว่าที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีเพียงมติรับทราบ โดยยังไม่ได้ตัดสินหรือรับรองว่า พระราชภาวนาวิสิทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 หรือไม่ ประกอบกับมหาเถรสมาคมและผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ.2505 ให้ครบถ้วนทุกประเด็น ด้วยเหตุดังกล่าว ดีเอสไอจึงมีหนังสือแจ้งผลการสืบสวนและขอทราบความคืบหน้าในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว และจะได้แจ้งผลการดำเนินการให้ผู้ร้องทราบ อันเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย หาได้ใช้อำนาจฝ่ายอาณาจักรแทรกแซงศาสนจักร ดังที่เข้าใจไม่

“อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้เชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมฟังการประชุมชี้แจงการพิจารณาดำเนินการทางวินัยสงฆ์ตามพระธรรมวินัยเกี่ยวกับประเด็นลิขิตสมเด็จพระสังฆราชในประเด็นการอาบัติปาราชิกของพระราชภาวนาวิสิทธิ์ (สมณศักดิ์ในขณะนั้น) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และจะได้ชี้แจงผลการดำเนินการให้ ดีเอสไอทราบเป็นหนังสือต่อไป จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบโดยทั่วกัน” เอกสารข่าวระบุ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image