วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ : ข้อเท็จจริงน่ารู้เกี่ยวกับช้างป่าของไทย

ปกติผมจะสื่อสารสังคมเรื่อง ช้างบ้าน ตกทุกข์เสียเป็นส่วนมาก เพราะเจ้าภาพแทบไม่มี ต่างจากเรื่องช้างป่า

แต่ด้วยข่าวคราวการกระทบกระทั่งกันระหว่างช้างป่ากับชุมชนติดป่าในหลายพื้นที่ของไทย เช่น ป่าภาคตะวันออก ป่าภาคตะวันตก ป่ารอบเขาใหญ่ ที่ถี่ขึ้น มีความสูญเสียอย่างน่าเสียดายแทนทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

คณะอนุกรรมาธิการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นอนุกรรมาธิการที่ตั้งโดยคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา จึงจัดประชุมรับฟังข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการชุดนี้ ผมได้มีโอกาสทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาระหว่างช้างป่ากับชุมชนในเขตรอบชายป่าของไทยที่พอนำมาประมวลสรุปจากการชี้แจงของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานกันในภาคสนามพร้อมข้อสังเกตได้ดังนี้

Advertisement

1.ช้างป่าของไทยมีราวสามพัน แต่ยังไม่เกินสี่พันตัว มีอัตราการเพิ่มยังไม่สูงมาก แต่มีบางพื้นที่ที่อัตราขยายตัวเร็วกว่าพื้นที่อื่น ในขณะที่ศรีลังกามีช้างป่าไม่น้อยกว่าไทย โดยมีพื้นที่ประเทศเล็กกว่าไทยเป็นเท่าตัว ศรีลังกาจึงเคยเผชิญปัญหานี้เข้มข้นกว่าของไทยมากทีเดียว แถมช้างเอเชียพันธุ์ศรีลังกานั้น ถือเป็นช้างที่มีรูปร่างใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ช้างเอเชียเสียด้วย ประสบการณ์ของศรีลังกาคือ ในช่วงหนึ่งที่ช้างศรีลังกาถูกประชากรมองว่าเป็นสัตว์ส่วนเกินและเป็นผู้ทำลายพืชไร่อย่างสำคัญ ช้างป่าศรีลังกาที่เคยมีถึงเกือบ 2 หมื่นตัวถูกทำให้ลดหายจนเหลือเพียงห้าหกพันตัวในช่วงเวลาแค่ศตวรรษเดียว

2.ช้างป่าของไทยส่วนมากยังอยู่ลึกเข้าไปในป่า ช้างป่าที่ออกมามีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนที่อยู่ติดเขตป่านั้น ยังเป็นส่วนน้อยของช้างป่า แต่ถ้าไม่ดำเนินการไว้ให้ดี ปัญหานี้จะขยายตัวได้อีกพอควร แถมยังมีช้างป่ากัมพูชาก็ดี ช้างป่าในเมียนมาร์ก็ดีทยอยอพยพหลบการรุกไล่ของทุนและการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชไร่เข้ามาตามป่ารอยต่อจนข้ามชายแดนไทยเข้ามาเพิ่มในบางช่วงที่ผ่านมา

3.เมื่อคำนวณด้วยคณิตศาสตร์อย่างหยาบๆ ช้างป่าของไทยมีอัตราความหนาแน่นเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ป่าที่หนึ่งตัวต่อ 15 ตารางกิโลเมตร จึงนับว่ายังไม่หนาแน่นเกินไป และยังมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มคุณภาพให้พื้นที่ป่าอาศัยของช้าง เช่น การเพิ่มแหล่งน้ำ เติมการปลูกพืชอาหาร และพัฒนาให้มีทุ่งหญ้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยลดการหลงหลุดหรือการดั้นด้นของช้างออกจากป่ามากระทบกระทั่งกับมนุษย์ได้ดีขึ้น

Advertisement

4.ปกติช้างป่าจะอยู่เป็นกลุ่ม และจะหากินร่วมกัน โดยเจ้าหน้าที่คุ้มครองสัตว์ป่าสังเกตว่าพฤติกรรมของช้างอายุน้อยๆจะชี้นำการเลือกเดินหากิน โดยตัวแม่จะเดินตามไปดูแลลูกๆ อย่างใกล้ชิด ส่วนตัวผู้ตามหลังมาเพื่อช่วยอารักขา ช้างจ่าโขลงมักมีบทบาทในทางการทำหน้าที่คุ้มครองมากกว่าเป็นผู้ชี้นำการเดินทางของกลุ่ม

5.ช้างตัวผู้ที่หลงออกจากป่ามา เจ้าหน้าที่รักษาป่าสังเกตว่ามักเป็นช้างหนุ่มที่ถูกขับออกจากฝูง เพราะเป็นช้างแก่ หรือบางตัวไม่แก่แต่โดนช้างหนุ่มที่แข็งแรงกว่าขับออกมา สังเกตได้ด้วยว่าช้างที่แพ้ออกมาบ่อยครั้งมีหางกุด ซึ่งเกิดจากตอนหมุนตัวเริ่มวิ่งหนีนั้น หางช้างที่ชี้ตรงจะบังเอิญโดนช้างที่ชนะกัดเอา!!

6.ช้างที่ได้ออกมาลองชิมผลไม้สวน หรือพืชผลแปลงเกษตรมักจะติดใจในรสชาติ และจะไปตามเพื่อนในฝูงให้มาชิมบ้าง ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะผลไม้เมืองร้อนนอกป่าย่อมมีรสชาติหวานฉ่ำ เมื่อชิมแล้วก็จะติดรสหวาน ไม่ว่าจะทุเรียน เงาะ ลำใย สัปปะรด แก้วมังกร หรือแม้แต่แปลงกล้วย แปลงข้าวโพด

การเคลื่อนย้ายช้างป่าออกไปปล่อยใหม่ให้ไกลจากจุดที่เขาเคยมาติดรสชาติของพืชสวนพืชไร่จะไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาได้ ถ้าไม่ช่วยให้เขาค่อยๆลดความติดใจในรสชาติเหล่านั้น

ทางแก้ไขที่พัฒนาขึ้นโดยบุคลากรของกรมอุทยานฯ บ้างแล้ว คือนำไปปล่อยในพื้นที่อื่นแล้วนำพืชอาหารที่มีทั้งส่วนผสมจากแปลงเกษตรผสมกับพืชป่าในสัดส่วนที่ค่อยๆเจือจางลงจนเหลือแต่พืชป่าในที่สุด เพื่อให้ช้างค่อยๆเปลี่ยนคืนไปสู่ความชินของอาหารป่าอย่างที่เคยเป็นมาก่อน มิเช่นนั้นเขาจะมุ่งหน้าออกไปหากินในแปลงเกษตรอีกอย่างรวดเร็ว แม้อยู่ไกลไปเป็นร้อยๆกิโลเมตรได้อย่างแม่นยำ

7.การพยายามสร้างแหล่งน้ำแหล่งอาหาร และทำโป่งเทียมในป่าจึงเป็นวิธีที่หนึ่งในการช่วยลดการเสี่ยงที่มนุษย์และช้างป่าจะเผชิญหน้ากัน แต่นั่นหมายถึงการต้องอาศัยแรงเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครจำนวนมากขนแบกอุปกรณ์และสารพัดสิ่งเดินลึกเข้าป่าไปบ่อยๆ มีความสุ่มเสี่ยงตามสภาพงานและฤดูกาล กิจกรรมนี้เริ่มไปหลายที่แล้ว กรมอุทยานฯได้ลุยป่าเข้าไปปลูกพืชอาหารช้างไปเป็นพื้นที่รวมๆแล้วถึง 1,478 ไร่ ปรับปรุงทุ่งหญ้า ไปแล้ว 26,110ไร่ ขุดทำแหล่งน้ำไปแล้ว 670 แห่ง ทำฝายชะลอน้ำ 109 แห่ง และทำโป่งเทียมไปแล้ว 3,308แห่ง

ส่วนวิธีที่สองที่ได้สามารถทำคู่ขนานไปในพื้นที่กันชนคือการใช้รั้วธรรมชาติเช่นปลูกไผ่หนามที่เมื่อโตเต็มที่จะสามารถสกัดช้างไม่ให้ฝ่าออกนอกเขตได้ แต่เนื่องจากไผ่จะใช้เวลาหลายปีกว่าจะโตสูงและแน่นพอจะสกัดช้างได้ จึงควรขึงรั้วลวดหนาม และหากสภาพภูมิประเทศเอื้ออำนวยการควรขุดทำแนวคูกันช้างไปด้วย เพื่อให้ทั้ง3 อย่างช่วยกันและกัน

เท่าที่รับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่มา มีการขุดคูกันช้าง ซึ่งด้านที่ช้างมาจากป่าจะเป็นทางลาดลง แต่ฝั่งที่จะมุ่งไปชุมชนจะเป็นคันดินชันที่ช้างจะปีนขึ้นไม่ได้ คูแบบนี้ทำไปแล้วยาว 592 กิโลเมตร ปลูกไผ่หนามเป็นรั้วไปแล้ว 264 กิโลเมตร บางจุดจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้รั้วคอนกรีตกึ่งถาวรก็ได้สร้างไปบวกรวมๆจากทั้งประเทศแล้ว 98 กิโลเมตร

นับว่ามีความก้าวหน้าทีเดียว เพราะสมัยก่อนการจะใช้งบหลวงไปขุดบ่อน้ำในป่าเคยติดขัดด้านการตีความกฏหมายว่าจะเป็นหน้าที่และภารกิจของกรมอุทยานฯได้หรือไม่ หน่วยตรวจสอบจะยอมรับหรือเปล่า

8.การทำหมันช้าง ไม่ว่าหมันช้างเพศใดก็ยังยุ่งยากซับซ้อนมากทั้งสองเพศ เพราะอวัยวะที่จะต้องทำหมันของทั้งสองเพศอยู่ลึกเข้าไปภายในตัวช้าง ยังต้องอาศัยการผ่าตัด การวางยาสลบช้างอันตรายมากเพราะจะทำให้ช้างล้มตัวลงแบบที่เขาควบคุมท่าทางเองไม่ได้ ซึ่งอาจทับอวัยวะภายในของตัวเองจนตาย การให้ยาซึมอันตรายน้อยกว่าก็จริง แต่การจะผ่าตัดช้างในท่ายืนก็ต้องมีอุปกรณ์ยกพยุง มีระบบค้ำยันที่แข็งแรง ซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่จะทำเช่นนั้นในเขตป่า. ทางเลือกที่ได้มาจากความรู้ภูมิปัญญาของควาญช้างคือพืชสมุนไพรบางอย่างช่วยลดความกำหนัดในช้างเพศผู้ลงได้

9.วิธีที่สาม ในการจัดการคือการติดเครื่องจีพีเอสและหรืออุปกรณ์ส่งสัญญานวิทยุแสดงพิกัดของช้าง การใช้โดรนพร้อมกล้องตรวจจับความร้อนจากร่างกาย การมีโดรนที่บินถ่ายภาพอินฟราเรดตอนกลางคืนได้ เป็นเทคโนโลยีที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนและทำอย่างมีความรู้ความชำนาญ ช่วยให้การติดตามและบริหารความเสี่ยงก่อนเกิดเหตุเผชิญกันระหว่างช้างป่ากับมนุษย์ทำได้ดีขึ้น

10.วิธีที่สี่ คือการมีทีมเจ้าหน้าที่และเครือข่ายอาสาสมัคร ตลอดจนมีผู้แทนของหน่วยงานในพื้นที่ เช่น ฝ่ายปกครอง ฝ่ายองค์กรส่วนท้องถิ่น ตลอดจนมีชุมชนเครือข่ายที่ผ่านการอบรมจนมีความรู้ความเข้าใจต่อเรื่องพฤติกรรมช้างป่า และการเข้าใจวิธีทำงานเป็นทีมช่วยได้ดีมากเสมอ ซึ่งบัดนี้ก็ได้มีขึ้นในรูปแบบชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังช้างป่า 41 ชุดแล้ว มีชุมชนเครือข่ายเข้าร่วมมือเรื่องนี้แล้ว 190 เครือข่าย

11.ในบางพื้นที่ของศรีลังกามีกติกาที่เป็นที่ตกลงยอมรับระหว่างกันว่าการทำการเกษตรในพื้นที่แนวกันชนที่ติดป่าจะไม่มีการปลูกพืชที่ช้างชอบกิน เพราะนั่นคือปัจจัยเสี่ยงที่ยิ่งดึงดูดให้ช้างออกจากป่า
ดังนั้นแปลงปลูกของไทยรอบๆเขตป่าจึงอาจพิจารณาให้เกิดการประชาสัมพันธ์ให้มีความเข้าใจในมุมมองนี้

รวมทั้งถ้ามีครอบครัวหรือชุมชนใดของไทยอยากขอแลกเปลี่ยนที่ดินไปเป็นที่ดินผืนอื่นที่ไม่ต้องติดเขตที่ช้างป่ามักมาเยี่ยมบ่อย รัฐก็ควรจัดที่ดินตามโครงการคทช.ซึ่งคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติดูแลอยู่ให้ไปทดแทน

แถมแบบนี้จะช่วยให้ผืนป่าเดิมมีความเป็นผืนใหญ่ต่อเนื่องยิ่งขึ้น

12.แม้ในบางจุด กรมอุทยานฯมีการติดตั้งรั้วไฟฟ้ากันช้างป่า แต่ระบบไฟฟ้าที่ใช้จะมีระบบควบคุมวงจรกระแสไฟฟ้าที่จะตัดวงจรตัวเองในแทบจะทันทีที่สัมผัส เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อสัตว์ หรือมนุษย์ กล่าวคือให้เกิดการดูดสั้นๆพอให้ตกใจและกระตุกออก ดังนั้นการใช้ไฟฟ้าจากบ้านเรือนมาทำรั้วไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่ต้องห้ามเด็ดขาดเพราะเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อทุกสิ่งที่เข้าไปสัมผัสโดน โศกนาฏกรรมแบบนี้ควรยุติได้ ถ้าได้ดำเนินการอย่างเข้าอกเข้าใจกัน

13.งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ในการป้องกันป่า ป้องกันสัตว์ป่า ป้องกันการกระทบกระทั่งหรือการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์และสัตว์ป่ายังได้รับจัดสรรน้อย

กล่าวคือได้รับงบประมาณจัดสรรเพียง 37%ของคำขอดำเนินการในปี2562 แล้วลดลงเหลือ 16%ในปี2563 และเหลือ 4%ในปี2564 แล้วเป็น 6.3% ในปี2565 !!

แบบนี้เหนื่อยครับ

14.เมื่อส่องที่งบลงทุน เช่น การทำแนวกั้นขวางต่างๆ เพื่อมิให้ช้างป่าหลุดเข้าไปถึงชุมชน ก็ได้รับงบสนับสนุนน้อยลง เหลือ 32%ในปี2563 จนในที่สุดเหลือเพียง 26% ในปี2565!!

ส่วนงบเงินอุดหนุนและงบรายจ่ายอื่นเพื่อการนี้ ไม่เคยได้รับการจัดสรรเลย!!

15.มีข้อคิดอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ พื้นที่หย่อมป่ารกๆ รอบอุทยานที่บางครั้งยังเป็นพื้นที่ที่ขาดความร่วมมือ หรือดูแลมิให้เป็นพื้นที่หลบซ่อนตัวของช้างป่า และอยู่ในเขตการบริหารของหน่วยอื่นที่ไม่ใช่กรมอุทยานฯ แต่เป็นที่ดินราชการ

ดังนั้นจึงควรสร้างแผนความร่วมมือให้ครอบคลุมไปถึงด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ดินป่าไม้ของกรมป่าไม้ ที่ราชพัสดุ หรือที่หน่วยงานอื่นๆที่อยู่ชิดเขตอุทยานที่มีช้างป่าอาศัยอยู่

16.โดยที่พระราชบัญญัติอุทยานที่ปรับปรุงใหม่ มีบทบัญญัติให้รัฐสามารถจ่ายค่าชดเชยแก่ราษฎรที่ได้รับความเสียหายจากสัตว์ป่าแล้ว ดังนั้น ควรเร่งรัดให้มีการออกอนุบัญญัติ หรือระเบียบการจ่ายให้คลอดออกมาเร็วๆ ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดของความขัดแย้งที่เจ้าของแปลงเพาะปลูกจะใช้เครื่องมือที่รุนแรง เช่นการวางกับดักตะปู การใช้อาวุธปืน การใช้รั้วไฟฟ้าที่ทำกันขึ้นเอง เป็นต้น

17.เราควรช่วยกันดูแลเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครที่ช่วยเรารักษาป่ากันอย่างเต็มกำลัง

ทุกวันที่ 13 มีนาคมของทุกปี เป็นวันช้างไทย

อีกไม่ถึงหกสิบวันนับจากนี้

เรามาช่วยกันทำให้ทั้งเราและช้างปลอดภัย ไม่ต้องเผชิญหน้าและไม่ต้องสูญเสียอย่างน่าเสียดายและเสียขวัญกันไปมากกว่านี้อีกเลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image