เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทยสภายื่นหนังสือให้ทบทวนข้อกำหนดในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป เนื่องจากเห็นว่าอาจส่งผลกระทบต่อคลินิกทันตกรรมกว่า 6,000 แห่งทั่วประเทศ เพราะมีการกำหนดให้ผู้ครอบครองเครื่องกำเนิดรังสี หรือเครื่องเอกซเรย์ทางทันตกรรมต้องมีใบอนุญาตครอบครองเครื่องกำเนิดรังสี รวมทั้งผู้ใช้งานสอบเพื่อรับใบอนุญาตเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยด้านรังสีจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ว่า ก่อนหน้านี้ ปส.ได้มีการชี้แจงและยืนยันเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติฯ ว่ามุ่งเน้นให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทางทันตกรรมสามารถกำกับดูแลความปลอดภัยทางรังสีได้ทันท่วงที เกิดความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน ผู้ป่วย ประชาชน และสิ่งแวดล้อม ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จำกัดการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ประการใด ล่าสุด ได้มอบหมายให้ปลัด วท.เร่งหารือกับผู้แทนทันตแพทยสภา และผู้แทนสมาคมทันตแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน
ด้าน ว่าที่ ร.ต.ทรงศักดิ์ ทองไชย นายกสมาคมพลังงานปรมาณู กล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจคลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริงคือ ใน พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ฯ มีข้อกำหนดว่าการใช้เครื่องกำเนิดรังสีระดับไหนจะต้องปฏิบัติอย่างไร ซึ่งมีตั้งแต่แจ้งที่ ปส.เกี่ยวกับการใช้เครื่องดังกล่าว หรือการขอใบอนุญาต ซึ่งก็ต้องมีการสอบ ปัญหาคือ หลายคนสอบไม่ผ่าน สมาคมพลังงานปรมาณูจึงจัดอบรมให้เพื่อให้เป็นแนวทางในการสอบ แต่ไม่ได้บังคับ หากไม่เข้าอบรม ก็ทำได้ แต่ก็ต้องไปดำเนินการปกติเท่านั้น ส่วนข้อร้องเรียนเรื่องทันตแพทย์ใช้เครื่องเอ็กซเรย์ในปริมาณไม่มาก อาจไม่ต้องสอบเป็นเจ้าหน้าที่รังสีนั้น ทราบว่า ขณะนี้ ปส.กำลังจะออกร่างกฎกระทรวงรองรับ
ทพ.เผด็จ พูลวิทยกิจ ทันตแพทย์ จ.สระบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีคลินิกหลายแห่งทั่วประเทศถูกข่มขู่ โดยทันตแพทย์คนหนึ่งให้ข้อมูลว่า มีบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ปส.โทรศัพท์ข่มขู่ และแจ้งข้อมูลให้ทันตแพทย์รีบไปสอบขึ้นทะเบียนใบรับรองเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางรังสี หรือ RSO ก่อน พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ฯ มีผลบังคับใช้ โดยระบุว่าในอนาคตแพทย์ที่จะทำการเอ็กซเรย์ได้ต้องมีใบอนุญาตดังกล่าว และผู้ที่ไม่สอบจะต้องได้รับโทษหนัก ปรับ 50,000 บาท และจำคุก 7 ปี ถือว่าโหดร้ายกับคนทำงานอย่างมาก นอกจากนี้ การจัดอบรมจะมีการเรียกเก็บค่าอบรมคนละ 3,500 บาท หากสอบไม่ผ่าน ให้จ่าย 100,000 บาท จะออกใบอนุญาตให้ทันที แต่เมื่อมีการสอบถามไปยัง ปส. ได้รับข้อมูลว่าการจัดอบรมดังกล่าวไม่เกี่ยวกับ ปส. แต่เป็นเรื่องของสมาคมปรมาณูเพื่อสันติ
