เมื่อวันที 10 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ในปีนี้ไม่เพียงสภาพความแห้งแล้งเท่านั้นที่ส่งผลกระทบต่อการทำการเกษตรหน้าแล้งของเกษตรกร แต่ยังมีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดถึง 7 องศาเซลเซียส ถือว่าต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่งผลให้เกษตรกรหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตร สร้างอาชีพเสริมหน้าแล้ง รวมถึงอากาศแปรรวน กระทบผลผลิตการเกษตรได้รับความเสียหายส่วนใหญ่จะมีการปลูกข้าวนาปรัง เป็นหลัก แต่มีเกษตรกรบางกลุ่มพยายามสู้วิกฤตแล้ง ด้วยการแสวงหาพืชการเกษตรทางเลือกใหม่ มาทดรองปลูก จนประสบความสำเร็จ สร้างรายได้งาม ทำให้เกษตรทางเลือกใหม่กำลังกลายเป็นที่สนใจต่อเกษตรกร หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจ ที่สามารถสู้ภัยแล้ง ทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ สภาพอากาศแปรปรวน หนาวจัดสลับร้อน เพื่อสร้างรายได้เสริมในช่วงหน้าแล้ง รอถึงฤดูทำนาปี ลดปัญหาขาดทุน เช่นเดียวกันกับอาชีพ ปลูกดอกบานชื่น เก็บเมล็ดพันธุ์ ส่งขายต่างประเทศ กำลังเป็นที่นิยม และสร้างรายได้เงินหมุนเวียนสะพัด ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม ทำให้หน้าแล้งปีนี้ต่างพากันหันมาทำเกษตรทางเลือกใหม่ แทนการทำนาปรัง หรือพืชการเกษตร ที่มีความเสี่ยงขาดทุน อีกทั้งยังสามารถเก็บผลผลิตในระยะสั้น แต่สร้างรายได้ดี ต้นทุนต่ำสามารถโกยเงินได้ เดือนละประมาณ 50,000 บาท ถึง 1 แสนบาท จนสามารถนำไปชำระหนี้สินได้ ไม่ต้องเดือดร้อน
นายบังกร ตันสมรส อายุ 53 ปี กล่าวว่า สำหรับปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่ได้ทดลองปลูกพืชเกษตรทางเลือก ที่เป็นดอกไม้ฤดูหนาว คือ ต้นบานชื่น ซึ่งเริ่มจากการไปแสวงหาจากคนรู้จักจนกระทั่งรู้จักบริษัทเอกชน ที่เข้ามาแนะนำส่งเสริม รวมถึงนำเมล็ดพันธ์มาให้ปลูก เริ่มปีแรกได้ปรับพื้นที่ประมาณ 2 งาน ในการถวนพรวนดินที่นา ยกร่อง ทำการปลูกดอกบานชื่น ด้วยเมล็ดพันธ์ แต่จะมีการแยกปลูกเป็นเพศผู้ เพศเมีย พร้อมจะมีการนำผ้ายางพลาสติกคลุมดิน รวมสร้างโรงเรือน ป้องกันป้องกันแดด ฝน และไม่ให้ลมแรงเกินไป หลังการปลูกไม่ต้องใช้น้ำมาก ปล่อยน้ำเข้าแปลง พอให้มีความชุ่มชื้น ยิ่งอากาศหนาวยิ่งเจริญเติบโตเร็ว พอต้นดอกบานชื่นโตได้ประมาณ 1 – 2 เดือน และมีการออกดอก จะได้นำเกสรดอกเพศผู้มาสมกับกับต้นดอกบานชื่นเพศเมีย ที่มีการปลูกคัดแยก ตามที่มีการแนะนำของบริษัทที่มาส่งเสริมปลูก
จากนั้นจะมีการดูแลเรื่องน้ำ ปุ๋ยเล็กน้อย จนกว่าดอกจะโตเต็มที่และแก่จัด ใช้ระยะเวลาประมาณ 5 เดือน ก่อนเก็บไปตากแห้งและคัดแยกเอาเมล็ดในช่อดอก ไปชั่งกิโลส่งขายให้กับบริษัทที่มาส่งเสริม มีการประกันราคาเรียบร้อย ไม่มีความเสี่ยง ในราคากิโลกรัมละ ประมาณ 6,000 บาท เพื่อนำส่งออกไปขายต่างประเทศ ไปทำพันธุ์ ถือว่าเป็นพืชเกษตรทางเลือก ที่ดูแลง่าย ไม่ยุ่งยาก อีกทั้งต้นทุนต่ำ ประมาณ 20 -30 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสำหรับในช่วงแล้ง และสภาพอากาศหนาวเย็น ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ต.พิมาน อ.นาแก จ.นครพนม หันมาปลูกกันมากขึ้น ในช่วงหน้าแล้ง เพราะรายได้ดี ไม่ต้องหาตลาดเอง บางรายขยันปลูกหลายไร่ ทำเงินได้เฉลี่ย ทั้งฤดูกาลผลิต ประมาณ 5 เดือน ได้เงินเดือนละ 50,000 – 100,000 บาท แล้วแต่ปริมาณการปลูก พอเก็บเกี่ยวก็สามารถทำนาปีเป็นปกติ