สปสช.ปรับระบบสายด่วน 1330 ลดผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง แนะทางเลือก เจอ แจก จบ

สปสช.ปรับระบบสายด่วน 1330 ลดผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง แนะทางเลือก เจอ แจก จบ

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) แถลงว่า ในช่วงสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราต้องการให้ประชาชนที่ติดเชื้อลงทะเบียนเข้ามาในระบบการรักษา ซึ่งสายด่วน 1330 เป็นช่องทางที่ประชาชนติดต่อเข้ามาเยอะพอสมควร เริ่มตั้งแต่ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งแต่ละเขตจะมีสายด่วนประจำในแต่ละเขตอยู่แล้ว โดยจะมีเบอร์โทรศัพท์ในเฟซบุ๊กของกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือโทรศัพท์ไปที่สายด่วน 1669 กด 2 ส่วนในต่างจังหวัดเองก็จะมีสายด่วนของแต่ละจังหวัด

“ในช่วงที่ผ่านมา สายด่วน สปสช.มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา มีสายด่วนเข้ามามากถึง 70,300 สาย ซึ่ง สปสช.เองในช่วงก่อนปีใหม่พยายามขยายคู่สายเต็มศักยภาพมากขึ้น หลังจากที่ สธ.ได้มีการคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ด้วยจำนวนที่มากถึง 70,000 สาย ก็จะทำให้พี่น้องประชาชนส่วนหนึ่งโทรเข้ามาแล้วสายไม่ว่าง จึงได้มีการเพิ่มช่องทางอีก 2 ช่องทาง คือการโทรเข้ามาเพื่อลงทะเบียนเข้าระบบ HI หรือ 1330 กด 4 มีเจ้าหน้าที่รับเรื่องและลงทะเบียนเข้าไปในระบบ แต่หากสายไม่ว่างเรายังมีช่องทางให้ประชาชนลงทะเบียนด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ สปสช. หรืออีกช่องทางหนึ่งคือ แอดไลน์ สปสช. โดยหลังจากวันที่ 1 มีนาคม จะมีการปรับหลายอย่าง ด้านหนึ่งเราเปิดรับจิตอาสา โดยมีจิตอาสาจากหน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไป แม้เราจะเคยมีสายที่โทรเข้ามาและไม่ได้ตอบกลับถึงครึ่งหนึ่ง แต่ในปัจจุบันลดลงไม่ถึง 1 ใน 4 สำหรับสายที่ค้าง โดยไม่ได้ปล่อยไว้เฉยๆ จะยังมีเจ้าหน้าที่ทยอยโทรกลับเช่นกัน” ทพ.อรรถพรกล่าว

ทั้งนี้ รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า สธ.เองก็ได้นำเสนอวิธีการรักษาเพิ่มขึ้นอีก 1 วิธีคือ ‘เจอ แจก จบ’ หรือการรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนแต่สามารถติดต่อไปยัง รพ.ตามสิทธิ หรือ รพ.ของภาครัฐได้เลย อย่างไรก็ตาม หากติดเชื้อ หรือเป็นกลุ่มเสี่ยงก็ยังสามารถลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ HI ได้ โดยจะมีการจับคู่กับ รพ.เพื่อเข้ามาดูแลเช่นเดิม และค่าใช้จ่ายรัฐบาลยังคงดูแลให้เสมอ ในกรณีที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและไม่แน่ใจว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ อาจจะเริ่มจากการตรวจเอทีเคก่อน โดยสามารถไปรับเอทีเคได้ตามร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการกับ สปสช. ปัจจุบันมีกว่า 1,700 แห่งทั่วประเทศ โดยรับผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” โดยจะได้รับ 2 ชุด หลังจากตรวจแล้วหากผลเป็นบวกไม่ต้องตกใจ ให้ดูความเสี่ยงของตัวเองก่อนว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ ฉีดวัคซีนครบหรือไม่ และหากไม่มีอาการสามารถไปเข้ารับบริการแบบผู้ป่วยนอกได้ แต่หากเป็นกลุ่มเสี่ยงก็สามารถลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ HI โดยเชื่อว่าหลังจากปรับระบบคู่สายแล้วจะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาในระบบได้ง่ายขึ้น

Advertisement

“อย่างไรก็ตาม การรักษาแบบผู้ป่วยนอกไม่จำเป็นต้องรอสายด่วนเลย ท่านสามารถไปรับบริการได้ทันที แต่ระหว่างการรอรับบริการยังต้องปฏิบัติตามมาตรการ เว้นระยะห่างจากผู้อื่น โดยแพทย์จะตรวจดูอาการและติดต่อกลับไปภายใน 48 ชั่วโมง หากไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรก็จะกักตัวไปประมาณ 10 วัน” ทพ.อรรถพรกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับการเพิ่มคู่สายที่มีหน่วยงานอื่นมาเกี่ยวข้องมีมากขึ้นเท่าไร ทพ.อรรถพรกล่าวว่า เดิมทีมีการเพิ่มคู่สายโดย สปสช. 3,000 คู่สาย แต่ตอนนี้มีหน่วยงานหลายหน่วยมาช่วย ล่าสุด มีทางศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 (ศบค.) ได้ให้ทางกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ มาช่วยเพิ่มอีก 200 คู่สาย ซึ่งเป็นคอลเซ็นเตอร์แยกไปตามเหล่าทัพ โดยประชาชนโทรศัพท์แค่หมายเลขเดียวคือ 1330 กด 14 เพื่อเข้าระบบการรักษา หากจำนวนเจ้าหน้าที่ไม่พอรับจะโอนไปยังคอลเซ็นเตอร์ 200 คู่สาย และยังรวมของจิตอาสาใช้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวมาลงทะเบียนกับ สปสช.เพื่อเป็นกำลังสำรองในการรับสาย นอกจากนี้ทาง สปสช.ยังเปิดรับจิตอาสาเพิ่มเติมอีก โดยสมัครผ่านเว็บไซต์ สปสช.

Advertisement

เมื่อถามว่าขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลต่อระยะเวลาในการรอรับสายหรือการติดต่อกลับหรือไม่ ทพ.อรรถพรกล่าวว่า เมื่อก่อนอัตราการรับสายอยู่ที่ประมาณ 7 นาทีต่อ 1 สาย ทั้งนี้ เรากำลังจะลดระยะเวลาต่อ 1 สายให้มากที่สุด เพราะใน 1 นาที มีคนโทรเข้ามา 50 สาย สุดท้ายแล้วเราไม่สามารถลดเวลาลงมาได้ แต่หลังจากวันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นมา หลังจากมีจิตอาสาและมีคนมาช่วย และมีทางเลือกในการรักษามากขึ้น ก็ทำให้จำนวนสายลดลง จาก 70,000 สาย ลดเหลือ 60,000 สาย และลดลงตามลำดับ หากสถานการณ์ดีขึ้นเช่นนี้จะมีจำนวนสายที่ไม่ได้รับ หรือติดต่อกลับลดลงเรื่อยๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image