เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม นายเอก ยังอภัยย์ นายอำเภอหนองจิก จ.ปัตตานี ได้เดินทางติดตามสืบหาบุคคลตามเรื่องเล่า เป็นครอบครัวชาวนาในพื้นที่ ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ครอบครัวชาวบ้านในพื้นที่กำลังต่างช่วยกันทำนา ได้มีรถยนต์มาจอดและเปิดประตูเดินลงจากรถเดินมุ่งหน้าสู่กลุ่มชาวนา ที่กำลังดำนา จนเป็นที่ตกใจและพร้อมไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีใจ เพราะผู้ที่เดินมุ่งมาหาถึงในทุ่งนานั้น คือในหลวง ทรงมาพบทักทายราษฎร พร้อมทั้งสอบถามสารทุกข์ปัญหาความเดือดร้อน และก่อนจากพระองค์ยังยื่นซองเงินให้กับชายชราผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวชาวนากลุ่มนั้นจำนวน 500 บาท
จากนั้นห่างกัน 1 ปี โครงการพระราชดำริและความเจริญเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน จากสภาพพื้นที่ลุ่มเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก จนไม่สามารถทำนา ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ได้อย่างปกติเหมือนที่อื่นๆ และยังคงดำริให้ส่งเสริมโครงการพระราชดำริต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือจนชาวบ้านสามารถลืมตาอ้าปาก ทำมาหากินด้วยการเป็นเกษตรยึดถือเกษตรพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง จนจวบปัจจุบันกลายเป็นหมู่บ้านเข้มแข็ง มีคณะกรรมการหมู่บ้านเข้ามาช่วยดูแลจัดระเบียบกิจกรรมหาได้รายของกลุ่มอาชีพต่างๆ จนมารถดำเนินกิจกรรมและการอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นชุมชนเข้มแข็ง สามารถดูแลช่วยเหลือกันเองได้ นำไปสู่ความยั่งยืนตลอดไปด้วยระบบจัดการดูแลช่วยเหลือด้วยรักสามัคคีของคนในชุมชน
นายมูซอ ลือแมะ อายุ 75 ปี (ใช้การแปลผ่านล่าม นายฉัตรชัย เจะปอ นายก อบต.ลิปะสะโง) ได้กล่าวว่า หนึ่งในครอบครัวชาวนาย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้นอายุได้ 30 ปี กำลังเกี่ยวข้าวอยู่กลางทุ่งนา ก็ได้มีรถยนต์ขับมาจอด จากนั้นก็เห็นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาที่กลางทุ่งนา ท่านถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง การทำมาหากินประสบปัญหาอะไรบ้าง คุยกันได้สักพักในหลวงก็มอบซองภายในมีเงิน 500 บาท แก่ปู่ ตอนนั้นตกใจและดีใจที่ได้เจอในหลวงมาก และเหตุการณ์ครั้งนั้นยังรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจมาก เพราะไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ได้เข้ามาเยี่ยมราษฎรถึงในท้องนา และหลังมาทราบในหลวงสวรรคตก็รู้สึกเหงา และเศร้าใจ เพราะความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้อยู่ดีกินดีจนมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะในหลวงท่านมาพัฒนา และริเริ่มโครงการพระราชดำริต่างๆ ช่วยเหลือชาวบ้านไม่ให้เดือดร้อน การสวรรคตของในหลวงจึงเศร้าใจมากเพราะรักและนับถือในหลวงเป็นเหมือนพ่อ
