สมัยก่อนหญิงไทยจะขายบริการได้ ต้องผ่านอะไรบ้าง

VVVNDX_RYlsPzเว็บไซด์  สยาม อัปเดท ได้บันทึก “ประวัติศาสตร์โสเภณีไทย” เอาไว้ น่าสนใจอย่างยิ่ง ความว่า

เข้าใจว่าอาชีพโสเภณี ในประเทศไทยมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เพราะกฎหมายลักษณะผัวเมียที่ออกสมัยพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยา ก็กล่าวถึงเรื่องหญิงนครโสเภณีแล้ว และ เริ่มมีการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะหารายได้เข้ารัฐ ที่เรียกว่า “ภาษีบำรุงถนน” เพื่อนำเงินไปตัดถนนที่เริ่มมีในรัชกาลนี้

อัตราค่าจดทะเบียนสำหรับหญิงนครโสเภณี 12 บาท มีกำหนด 3 เดือน ส่วนค่าใบอนุญาตโรงหญิงนครโสเภณี 30 บาท ต่อ 3 เดือนเช่นกัน
ตอนนั้นค่าขึ้นห้องของหญิงนครโสเภณีก็แค่ 2 สลึงถึง 1 บาทเท่านั้น
แต่ถ้า “ของนอก” เป็นญี่ปุ่นหรือฝรั่งก็ต้องถึง 2 บาท ถ้าเหมาทั้งคืนก็ 4 บาท ขณะที่ข้าวสารราคาถังละ 2 สลึงถึง 1 บาท

พระยาพิเรนทราธิบดีสีหราชงำเมือง ผู้บัญชาการพลตระเวนแขวงพระนคร ได้รายงานต่ออธิบดีกรมพลตระเวน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2458 เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องๆเกี่ยวกับหญิงโสเภณี ว่า

Advertisement

“โรงหญิงสัญจรโรคที่รับอนุญาตตั้งโรง บางแห่งเปิดโรงรับผู้มาเที่ยวไปมาอยู่จวนสว่าง แต่โรงหญิงญี่ปุ่น 2 ยามล่วงแล้วปิด ในพระราชบัญญัติสัญจรโรคไม่ห้ามการเปิดปิด ควรมีกำหนดปิดโรงจะเป็นเวลาใดก็ตามแต่สมควร ทั้งยังมีผู้หลีกเลี่ยงกฎหมายไม่มีใบอนุญาตเวลานี้ออกจะชุกชุม กองตระเวนได้ตรวจจับกุม บางเรื่องมีหลักฐานพอก็ส่งศาลฟ้อง บางเรื่องจะฟ้องไม่ถนัดโดยหลักหลักฐานไม่เพียงพอ จำต้องถอนฟ้อง เรื่องนี้กฎหมายยังไม่มีบังคับสำหรับคนจำพวกนี้ และเป็นพวกที่น่ามีเหตุเกิดขึ้น

ครั้งหนึ่งชาวเยอรมันได้ไปเที่ยว มีเหตุกับเจ้าของที่พัก กองตระเวนจับกุม ลงท้ายพลตระเวนกับชาวเยอรมันต้องเปนความกัน หญิงโสเภณีกับหญิงสัญจรโรคที่ไม่มีใบอนุญาต เวลากลางคืนเที่ยวออกชักชวนชายในที่ประชุมชนต่างๆ เที่ยวเกลื่อนกลาดตามถนน แลปะปนกระทำให้หญิงผู้ดีรับความเสื่อมทรามไปด้วย ควรมีบังคับห้ามหญิงโสเภณีที่มีใบอนุญาต ต้องประจำหาผลประโยชน์อยู่ที่พักของเขา จะเที่ยวเตร็ดเตร่ชักชวนชายตามถนนหรือที่ประชุมชนไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยได้รับรายงานร้องขอรวมโรงหญิงโสเภณีอยู่ในหมู่หรือตำบลเดียวกัน เพื่อสดวกสำหรับจัดการรักษา ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

การที่ให้ผู้หญิงแยกย้ายตั้งอยู่ที่ต่างๆเช่นนี้ กองตระเวนไม่พอเพียงจะรักษาให้ทั่วถึง ในหญิงนครโสเภณีกวางตุ้ง เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น สืบสวนไม่ใคร่จะได้ความ โดยปกปิดไม่บอกความจริง ถ้ามีโอกาสควรรวบรวมหญิงโสเภณีกวางตุ้งเสียคราวหนึ่งก่อน ถ้ารวบรวมไม่ได้ จำเปนต้องเพิ่มจำนวนพลตระเวนให้พอเพียงกับการรักษา”

Advertisement

VVVNDX_hDd4T1

มีรายงานของ นายพันตำรวจโท พระอนุรักษ์นครินทร์ ผู้กำกับการตำรวจพระนครบาลกองพิเศษ ถึง นายพลตำรวจตรี พระยาอธิกรณ์ประกาศ ผู้บัญชาการตำรวจพระนครบาลกรุงเทพฯ เกี่ยวกับการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณีตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๖๗ มีโรงหญิงนครโสเภณีและหญิงที่ได้รับอนุญาต คือ

เจ้าของโรงจีน 189 โรง ตัวหญิงนครโสเภณี 772 คน
เจ้าของโรงไทย 12 โรง มีตัวหญิงนครโสเภณี 72 คน
เจ้าของโรงญวน 7 โรง มีตัวหญิงนครโสเภณี 8 คน
เจ้าของโรงรัสเซีย 1 โรง มีหญิงนครโสเภณี 3 คน
รวมเจ้าของโรง 204 โรง มีหญิงนครโสเภณี 855 คน

นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังได้ความว่า มีโสเภณีที่ไม่ได้จดทะเบียนลักลอบหากินอยู่ คือ

จีน ประมาณ 200 คน
ไทย ประมาณ 150 คน
ญวน ประมาณ 15 คน
ญี่ปุ่น ประมาณ 5 คน
รัสเซีย ประมาณ 10
รวม 380 คน

ปรากฏว่ามีหญิงจีน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นหญิงกวางตุ้ง เข้ามาเป็นโสเภณีในเมืองไทยมากกว่าหญิงทุกชาติ และมากกว่าหญิงไทยเองด้วย ทางเข้ามาในสมัยนั้นก็มีทางเดียวคือทางเรือ ฉะนั้นเมื่อมีเรือเมล์ลำใดมาจากเมืองจีน เจ้าพนักงานตำรวจกองพิเศษจะไปรอตรวจ ถ้าพบหญิงสาวไม่ได้มากับครอบครัวจะสอบปากคำทุกคน ถ้าหญิงนั้นถูกหลอกลวงมา และสมัครใจจะกลับไปเมืองจีน ก็มอบหญิงนั้นให้อยู่ในความดูแลของนายเรือ และมีหนังสือส่งตัวไปยังตำรวจเมืองฮ่องกงให้จัดการส่งกลับบ้านต่อไป

ต่อมาใน พ.ศ.2503 สมัย จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ออก “พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503” ถือว่าโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และมีความทันยุคทันสมัยห้ามการค้าประเวณีในเพศเดียวกันด้วย โดยกำหนดความหมายของคำว่า “การค้าประเวณี” ไว้ว่า

“การค้าประเวณี หมายความว่า การยอมรับการกระทำชำเรา หรือการยอมรับการกระทำอื่นใด หรือการกระทำอื่นใดเพื่อสำเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อนเพื่อสินจ้าง ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ยอมรับการกระทำและผู้กระทำจะเป็นบุคคลเพศเดียวกันหรือคนละเพศ”

แต่กฎหมายที่แค่ “ปราม” ในปี 2503 หรือปรับปรุงมาเป็น “ป้องกันและปราบปราม” ในปี พ.ศ.2539 ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการค้าประเภทนี้ไว้ได้ กลับกระจายออกไปทั่ว เป็นอบอาบนวด คาเฟ่ บาร์ ไนต์คลับ จนถึงทางโทรศัพท์

กฎหมายที่สามารถทำให้นักเที่ยวประเภทนี้ “สยอง” ได้ ก็คือข้อที่ว่า

“ผู้ใดกระทำชำเราหรือกระทำอื่นใดเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่นแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีในสถานการค้าประเวณีโดยบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท” ซึ่งทำให้ลูกค้า “หัวหด” ไปตามกัน แม้แต่ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนแล้วก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ว่าแก้ตัวเลขอายุมาหลอกหรือเปล่า กลัวจะเจอแบบ “ป๋าเหลิม” จะอุดหนุนเด็กๆเสียหน่อย กลับโดนคูณเข้าไปตามครั้งที่อุดหนุน ต้องติดคุกถึง 36 ปี ฆ่าคนตายยังติดน้อยกว่านี้!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image