เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน นพ.วิศิษฎ์ ตั้งนภากร อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่สุนัขติดสัด จึงมีโอกาสเสี่ยงเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าแพร่ระบาดในกลุ่มของสุนัขง่ายขึ้น และคนมีโอกาสติดเชื้อหากถูกสุนัขที่มีเชื้อกัด สบส.ได้ประสานประธานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในระดับประเทศ ภาค เขต จังหวัด และอำเภอ ขอให้เครือข่าย อสม.ทั่วประเทศ ซึ่งมี 1,040,000 คนเศษ เฝ้าระวังสุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ในชุมชนที่เสี่ยงเป็นโรคพิษสุนัขบ้า พร้อมทั้งให้ความรู้ประชาชนให้นำสัตว์เลี้ยงในบ้าน ได้แก่ สุนัข แมว ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยสามารถฉีดในลูกสุนัขอายุตั้งแต่ 2-3 เดือนขึ้นไป และต้องฉีดทุกปี
ด้าน นพ.ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดี สบส. กล่าวว่า สังคมไทยขณะนี้ มีคนโสด และมีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวมากขึ้น และนิยมเลี้ยงสุนัขหรือแมวเป็นเพื่อน ทั้งนี้ ต้องนำสัตว์ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคทุกปี แม้ว่าจะไม่ได้ปล่อยไปไหนก็ตาม ย้ำว่าเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าที่อยู่ในน้ำลายของสัตว์สามารถเข้าสู่ร่างกายคนทางบาดแผล รอยถลอก รอยขีดข่วน ริมฝีปาก หรือนัยน์ตาได้ ดังนั้น หากถูกสัตว์กัดหรือเลียให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ที่แผลเพื่อขจัดเชื้อออกจากแผลให้ได้มากที่สุด จากนั้นให้ทายาฆ่าเชื้อและพบแพทย์ และห้ามรักษาแผลที่ถูกกัดหรือข่วนด้วยสมุนไพรหรือแพทย์แผนโบราณเด็ดขาด
ทางด้าน สพญ.เสาวพักตร์ ฮิ้นจ้อย นายสัตวแพทย์เชี่ยวชาญ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สธ.กล่าวว่า โดยทั่วไปสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าจะมีลักษณะเด่นที่สังเกตได้ง่าย ดังนี้ ลิ้นห้อย น้ำลายไหล หางตก แววตาน่ากลัว เดินโซเซ ทรงตัวไม่ได้ โดยมีอาการแสดงให้เห็น 2 แบบ คือ แบบดุร้าย สัตว์จะหงุดหงิด ไล่กัดคนและสัตว์อื่น หรือกัดโซ่-กรงหากกักขัง และแบบเซื่องซึม จะมีอาการป่วยเหมือนสัตว์สัตว์เป็นโรคอื่น ทำให้สังเกตได้ยาก มักหลบไปนอนในที่เงียบๆ ไม่แสดงอาการดุร้าย จะกัดคนหรือสัตว์เมื่อถูกรบกวน เช่น เมื่อเอาน้ำ เอายาหรืออาหารไปให้ หากประชาชนพบเห็นสัตว์ที่มีอาการตามนี้ ขอให้แจ้งสำนักงานปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ อสม.ในพื้นที่ เพื่อดำเนินการป้องกันควบคุมโรคทันที