หนุ่มสุรินทร์ เดินเท้า15วัน จากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ เชียงใหม่ ถวายสักการะในหลวง ร.9

เมื่อเวลา 18.00น. วันที่ 18 พฤศจิกายน บริเวณหน้าประตูวิเศษไชยศรี นายวัฒนะ อุไรล้ำ อายุ 35 ปี ชาวจ.สุรินทร์ เป็นอดีตพนักงานขับรถโฟล์คลิฟท์ บริษัท SHINSEI KOGYO (THAILAND) จำกัด เลขที่ 86 หมู่ 9 ต.มาบโป่ง อ.พานทอง จ.ชลบุรี ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ได้ออกเดินเท้าจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อเดินทางมายังสนามหลวงเพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางนานกว่า 15 วัน จนมาถึงสนามหลวงช่วงเย็นวันนี้

นายวัฒนะ กล่าวว่า แต่ก่อนนั้นตนเป็นคนเด็กมีปัญหาครอบครัวไม่อบอุ่นขาดพ่อมีนิสัยเกเรและดื้อรั้นมาโดยตลอด อยู่มาวันหนึ่งบังเอิญได้เปิดอ่านหนังสือ เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงทำเพื่อคนไทยกว่า 4,000 โครงการ ทำให้ตนนึกถึงว่าพระองค์ทำไมทรงเหนื่อยทรงทำเพื่อคนไทยขนาดนี้ ตนแม้จะเป็นคนไม่ดี เกเร ครอบครัวไม่อบอุ่น แต่เราก็สามารถเป็นคนดีได้สามารถทำสิ่งดีๆเพื่อสังคมได้ จากวันนั้นถึงวันนี้หากไม่มีหนังสือเล่มนั้นหากไม่มีพระองค์เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจผมวันนั้นคงไม่มีผมในวันนี้ ผมอาจจะถูกยิงตายหรือติดคุกติดตารางไปแล้วก็เป็นได้

นายวัฒนะ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ตนนั้นเลือกการเดินทางจากอุทยานหลวงราชพฤกษ์ สาเหตุมาจากสถานที่ดังกล่าวนั้นจะเปรียบเหมือนเป็นสถานที่ของพระองค์ท่าน ก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำก่อนหน้านี้ที่จังหวัดชลบุรี ไม่รับโบนัสไม่รับเงินเดือนทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพราะถึงเราจะมีเงินเราก็ใช้จ่ายหาความสุขจนหมด แต่หากครั้งหนึ่งในชีวิตไม่ได้มีโอกาสมาสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็จะรู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต

“แม้ตลอดระยะทางบาดแผลที่เท้าจะพุพองขึ้นทุกนาทีอุปสรรคฝนตกแดดออก ที่ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าพอนึกถึงพระองค์ท่านนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยจากพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านก็ทำให้อาการเจ็บปวดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ผมเดินทางถึงยังพระบรมมหาราชวังได้ เพราะเหล่าอาสาสมัคร เพื่อนพี่น้องชาวไทยตลอดสองข้างทางที่เมื่อเห็นผมเดินก็ออกมาทักทายสอบถามก่อนให้กำลังใจซึ่งตนพูดกับตัวเองมาตลอดว่า ที่เดินมาได้เพราะร่างกายของเราเอง 50 อีก 50 นั้นคือทุกคนที่คอยให้กำลังใจและช่วยเหลือตลอดเส้นทางเดินเหมือนผมไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียว ขณะที่เดินผ่านไปตามถนนของแต่ละจังหวัดในบางครั้งที่ผมจะหมดแรงแต่เพียงเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ ที่ติดอยู่ตามข้างทางน้ำตาของผมก็ไหลออกมา ก่อนจะเป็นแรงผลักดันให้ก้าวเดินต่อไป ถึงแม้วันนี้พระองค์จะไม่อยู่กับปวงชนชาวไทยแล้ว แต่พระองค์จะอยู่ในใจผมตลอดชีวิต และนำเอาหลักคำสอนของพระองค์มาเป็นแนวทางดำเนินชีวิตของผมต่อไป รวมถึงเก็บภาพความประทับใจตลอด 15 วันเก็บไว้ในจิตใจผมตลอดไป” หนุ่มชาวสุรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image