เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน สำหรับบรรยากาศการเข้าสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศยังคงเดินทางมาต่อแถวบริเวณสนามหลวง โดยเจ้าหน้าที่จัดที่นั่งในเต็นท์กลางสนามหลวงฝั่งเหนือ ก่อนจะจัดแถวไปตามเส้นทางออกมายังประตูตรงข้ามกรมศิลปากรและเดินต่อไปจนเข้ารั้วกำแพงวัง
นางสาลี หงส์ทอง หรือชื่อในภาษามอญว่า “รุ่งขะเจียง” อายุ 49 ปี ชาวมอญที่มาตั้งรกรากทำไร่นาอยู่ใน อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า เดินทางมาพร้อมเพื่อนบ้านรวม 4 คนมาพักบ้านญาติที่กรุงเทพฯ เมื่อหลายวันก่อน แล้วจึงเดินทางมารอบริเวณท้องสนามหลวงตอนตี 4 รู้สึกดีใจที่ใช้เวลารอไม่นานมาก เร็วกว่าครั้งก่อนที่มาถึงตี 3 ถึงจะเป็นคนมอญ แต่ก็รักและเทิดทูนในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ต่างจากคนไทย พระองค์ทรงเป็นคนดีใจดี ถ้าไม่ได้เข้ามาพึ่งใบบุญจากพระองค์ ป่านนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะตอนที่อยู่ฝั่งพม่าชีวิตลำบากมาก อยู่เมืองไทยได้ทำไร่ทำนามีอยู่มีกิน นับเป็นบุญของตัวเองและชาวมอญทุกคน วันนี้ไม่มีพระองค์แล้วเสียใจมาก หากมีโอกาสตั้งใจจะเดินทางมากราบพระบรมศพอีกเรื่อยๆ
ด้านนางยวนใจ ชนะกุล อายุ 55 ปี ที่เดินทางจากกระบี่กับพี่น้องรวม 4 คน กล่าวเป็นตัวแทนครอบครัวว่า วางแผนการเดินทางโดยสารเครื่องบินมาถึงกรุงเทพฯ เวลาเย็นของเมื่อวาน แล้วไปพักอยู่กับหลานย่านรามคำแหง ก่อนจะตื่นแต่เช้าตรู่โบกรถแท็กซี่มาส่งบริเวณท้องสนามหลวง ได้ต่อแถวเวลาประมาณตีสาม ต้องขอชมเชยเจ้าหน้าที่และจิตอาสามาก เพราะระหว่างรอนั้นจะมีคนเดินเสิร์ฟน้ำดื่ม อาหารว่าง จึงทำให้ไม่ค่อยหิว แม้อากาศจะร้อนบ้างแต่ใจสู้ กระทั่งเวลา 10.40 น.จึงได้เข้าถวยสักการะพระบรมศพตามที่ตั้งใจ
“จำได้ว่าปี พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ มาทรงเปิดสระมรกต แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดกระบี่ ตัวเองยังเป็นเด็กก็วิ่งมาเฝ้าฯ รับเสด็จพร้อมกับครอบครัว รู้สึกตื่นเต้นมากและปลาบปลื้มยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้ทูลเกล้าฯ ถวายผลไม้ป่าอย่างลูกหว้า เมื่อทราบข่าวการสวรรคตก็เสียใจไม่แตกต่างจากคนไทยทุกคน จึงตั้งใจจะมาถวายสักการะพระบรมศพด้วยตัวเอง ส่วนตัวน้อมนำปรัชญาด้านเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ นอกจากปลูกยางปลูกปาล์มเป็นรายได้หลักแล้ว ยังปลูกพืชผักสวนครัวเพิ่มเติม” นางยวนใจกล่าว
