เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีทั้งปลัด สธ. รองปลัดสธ. ผู้ตรวจราชการฯ อธิบดีทุกกรมในสังกัด โดยในการประชุม ได้มีการกล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำหนดทุกวันพุธในช่วงเวลา 15.00น. -16.30 น. ให้เป็นช่วงเวลาของการออกกำลังกายของข้าราการ โดย นพ.ปิยะสกล ได้เชิญชวนให้ผู้บริหารทุกคน ชวนเจ้าหน้าที่ และบุคลากรในสังกัด ออกกำลังกายทุกวันพุธ เพื่อขานรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่พึงกระทำ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค หากหน่วยงานไหนพร้อมให้ดำเนินการได้ทันที
นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เบื้องต้นได้กำหนดให้ทุกวันพุธ เวลา 15.00-16.30 น. เป็นช่วงเวลาออกกำลังกายของข้าราชการ ซึ่งหากหน่วยไหนพร้อมก็ดำเนินการได้ อย่างการประชุมผู้บริหาร ซึ่งปกติจะเป็นการนั่งประชุมอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมง ล่าสุด ก็มีให้มีการลุกขึ้นมาออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ ขยับแขนขาระหว่างการประชุม เช่น ประชุมไปได้ 1 ชั่วโมง ก็ให้ทุกคนลุกขึ้นมาออกกำลัง ขยับแขนขา เพื่อไม่ให้เกิดพฤติกรรมเนือยนิ่ง ซึ่งการนั่งเฉยๆ จะทำให้อวัยวะหลายๆ อย่างในร่างกายไม่ทำงาน และเกิดความง่วงนอน ซึ่งกิจกรรมทางกายลักษณะเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานสามารถทำได้ และ สธ.ก็เริ่มทำเป็นต้นแบบแล้ว นอกจากนี้ ยังได้ให้กรมอนามัยเป็นเจ้าภาพในการคิดหรือหากิจกรรมทางกาย ที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวระหว่างวัน เพื่อเป็นต้นแบบให้แก่หน่วยงานอื่นๆ ด้วย ว่าระหว่างวันสามารถมีกิจกรรมทางกายอย่างไรได้บ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันดีเดย์การออกกำลังกาย และเป็นวันที่นายกรัฐมนตรี จะมาตรวจงานที่สธ. ได้มีการเตรียมกิจกรรมไว้ต้อนรับหรือไม่ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเตรียมกิจกรรมอยู่ว่าจะมีการดำเนินการอะไร ซึ่งต้องคำนึงถึงสถานที่ด้วยว่าจะทำอะไรได้บ้าง แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ แต่มีกิจกรรมเซอร์ไพรส์แน่นอน
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้กรมอนามัยได้ยกร่างแผนยุทธศาสตร์กิจกรรมทางกายชาติแล้ว อยู่ระหว่างการฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอ สธ. และเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะเสนอให้ได้ภายในเดือนเมษายน 2560 ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวตั้งเป้าหมายในการเพิ่มระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของคนไทยจากร้อยละ 68 เป็นร้อยละ 75 ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวเรียกว่า ยุทธาสตร์ 5 ยกกำลัง 3 หรือ 5x5x5 คือ 1.ดำเนินการใน 5 กลุ่มวัย ได้แก่ ตั้งครรภ์ เด็กเยาวชน วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ
2.ส่งเสริม 5 สถานที่ให้เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ได้แก่ สถานพยาบาล สถานประกอบการ สถานศึกษา สวนสาธารณะ/สถานออกกำลังกาย และคมนาคมขนส่ง และ 3.ระบบสนับสนุนการมีกิจกรรมทางกาย 5 ด้าน ได้แก่ มีระบบสนับสนุน มีการวิจัย มีการติดตามประเมินผล มีการพัฒนาศักยภาพ แลระระบบการสื่อสารรณรงค์ ทั้งนี้ หากยุทธศาสตร์ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็ต้องไปออกข้อบังคับหรือแนวทางที่เอื้อให้เกิดการมีกิจกรรมทางกาย
