ปลัด สธ. เผยโควิด-19 ทั่วโลกใกล้ไข้หวัดใหญ่เข้าทุกที วัคซีนยังจำเป็น ชี้ รุ่นเก่ายังใช้ได้ ไม่ต้องรอชนิดใหม่ เร่งบูสต์อย่างน้อยคนละ 4 เข็ม
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ว่า ภาพรวมทั่วโลกพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้น่ากังวลนัก ทุกประเทศกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทั้งนี้ ลักษณะการติดเชื้อโควิดก็จะขึ้นๆ ลงๆ เป็นไปตามรูปแบบการระบาดใหญ่ อย่างที่เราเจอเมื่อร้อยปีที่แล้ว คือ ไข้หวัดสเปน เพียงแต่ช่วงนั้นการสื่อสารยังไม่เร็วเหมือนปัจจุบัน แต่ภาพรวมจะคล้ายกัน ซึ่งการระบาดแต่ละประเทศจะมีสายพันธุ์ที่ต่างกันออกไป ไม่เหมือนช่วงแรกที่ระบาดสายพันธุ์เดียวกันหมด ฉะนั้น โควิดเข้าใกล้ไข้หวัดใหญ่เข้าไปทุกที เนื่องจากคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน เชื้อกลายพันธุ์หลากหลายแต่ละพื้นที่มีสายพันธุ์ย่อยต่างกัน และความรุนแรงการก่อโรคไม่มาก อย่างประเทศที่พบติดเชื้อเพิ่มในช่วงนี้ คือ ญี่ปุ่น เฉลี่ยวันละ 6-7 แสนราย เกาหลี 3-4 แสนราย ฝรั่งเศส 4 แสนราย สหรัฐอเมริกา 3 แสนราย และบราซิล 2 แสนราย อย่างไรก็ตาม การรายงานข้อมูลในปัจจุบันที่คนมีความรู้มากขึ้น มีวัคซีน มียาต่างจากช่วงที่ระบาดในอู่ฮั่น ที่เชื้อรุนแรง ไม่มีวัคซีน คนก็จะกลัวกันมาก การรายงานข้อมูลที่เปลี่ยนไป ไม่มีใครนั่งไล่ว่าติดเชื้อกี่คน แต่เราจะดูจากแนวโน้ม อย่างไทยใช้ตัวเลขการเสียชีวิต ผู้ใส่ท่อหายใจ ซึ่งตอนนี้ภาพรวมแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ผิดจากการคาดการณ์
นพ.โอภาสกล่าวว่า ข้อมูลสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างวันที่ 27 พ.ย.-3 ธ.ค. ไทยพบผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อหายใจ และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่มากนัก ข้อมูลผู้เสียชีวิต 105 ราย ทั้งหมด 100% เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ประวัติการรับวัคซีน เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน 51% รับเข็มเดียว 5% รับครบสองเข็มแต่ไม่ได้รับเข็มกระตุ้น 30% ได้รับเข็มกระตุ้นเกิน 3 เดือน 14% ส่วนข้อมูลสัปดาห์นี้อยู่ระหว่างทำสรุป แต่เบื้องต้นข้อมูลระบุว่า ตัวเลขเริ่มชะลอตัวจาก 2 สัปดาห์ก่อน ส่วนการเสียชีวิต 100% เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 และคนไม่ฉีดวัคซีนรวมถึงไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ฉะนั้น กลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อแล้วจะเสียชีวิตสูงสุด ขณะที่สถานการณ์ครองเตียงในโรงพยาบาล (รพ.) กลุ่มปอดอักเสบยังเป็นสีเขียวอยู่ มี 533 ราย ครองเตียง 7.30% ทำให้ รพ. สามารถกลับไปรักษาผู้ป่วยตามปกติ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดในตอนนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข
ขณะเดียวกัน ระบบการเฝ้าระวังในชุมชนและประชากรกลุ่มเสี่ยง (Sentinel surveillance of COVID-19 ) เช่น กลุ่มแรงงานต่างด้าว บุคลากรใน รพ. ชุมชนแออัด ตลาดสด การพบผู้ป่วยไม่ได้เพิ่มขึ้น และบางสัปดาห์ดูลดลงด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ข้อมูลการศึกษาภูมิคุ้มกันของคนไทย ส่วนใหญ่ มีภูมิฯแล้วเพราะได้รับวัคซีน ช่วงก่อนหน้านี้ที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังไม่มาก คนเลยไม่ค่อยฉีดวัคซีน เฉลี่ยวันละพันรายเท่านั้น แต่ตอนนี้เพิ่มเป็นวันละหมื่นราย หรือ 3-4 เท่า ซึ่งตนได้ให้นโยบายกับหน่วยบริการสาธารณสุขในสังกัด สธ.ทั่วประเทศว่า หากคนมาขอฉีดต้องได้ฉีด แม้ว่าจะต้องเปิดขวดใหม่เพื่อฉีดคนละขวดก็ต้องทำ และได้ขอความร่วมมือไปยังคณะกรรมการโรคติดกรุงเทพมหานคร เพื่อขอความร่วมมือ ให้ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. เร่งรัดการฉีดให้เพิ่มขึ้น
“การฉีดเข็มกระตุ้น ไม่ว่าจะเคยฉีดแบบไหนมาก็ไม่ต่างกันมากนัก ส่วนวัคซีนรุ่นใหม่ที่เป็นสองชนิด (Bivalent vaccine) ความเห็นของนักวิชาการต่างก็บอกว่า ถ้ามาใช้เป็นเข็มกระตุ้นก็ดีกว่าชนิดเดิมที่ใช้อยู่เล็กน้อยอย่างไม่มีนัยยะสำคัญ ที่สำคัญคือ ระยะเวลาในการฉีดเข็มกระตุ้น ดังนั้นไม่ต้องรอรุ่นใหม่ก็ใช้วัคซีนเดิมได้” นพ.โอภาสกล่าว และว่า สำคัญคือ ขอให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างน้อย 4 เข็ม โดยเฉพาะคนที่ฉีดเข็ม 3 มานานกว่า 4 เดือนแล้ว ให้เร่งมารับวัคซีนโดยเร่งเร็ว