เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ประตูเทวาภิรมย์ พระบรมมหาราชวัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดเดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอย่างต่อเนื่อง สำหรับบริเวณประตูเทวาภิรมย์เป็นประตูทางออกภายหลังจากถวายสักการะประชาชนมีสีหน้าเศร้าโศก
นางละเอียด หลวงยี อายุ 72 ปี ชาว จ.สุรินทร์ เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า เดินทางมากับรถตู้โดยรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านหมู่บ้านข้างเคียง 9 คน มาถึงพระบรมมหาราชวังเวลาประมาณ 02.00 น. และเข้าสักการะเวลาประมาณ 08.00 น. ดิฉันเคยมีโอกาสเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อครั้งอายุ 10 ปี ตอนนั้นพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมายัง จ.สุรินทร์ ตนได้ถือธงชาติไทยโบกสะบัดมีความรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก เมื่อทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านครั้งแรกเหมือนหัวใจแตกสลายร้องไห้ ตัดสินใจปิดมือถือไม่อยากฟังข่าวสารจากใครรอเพียงฟังแถลงการณ์เท่านั้น เมื่อได้ฟังแถลงการณ์รู้สึกเสียใจมาก เหมือนว่าเราได้สูญเสียพ่อของเราไปแล้ว พ่อเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนทั้งประเทศ เสมือนเราขาดที่พึ่งทางจิตใจ ต่อไปเราพึ่งใครได้ อย่างไรก็ตาม คงเดินทางมาสักการะครั้งนี้ได้ครั้งเดียว เนื่องจากแก่มากแล้ว แต่จะเข้าวัดสวดมนต์ถวายพระองค์ท่านตลอดเวลา
ขณะที่ นายธราพงษ์ มงกุฎกลุ อายุ 26 ปี อาชีพวิศวกรซ่อมบำรุงโรงงานแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า เดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ พร้อมกับเพื่อน ตั้งแต่เวลาประมาณ 01.30 น. และได้เข้าถวายสักการะเวลา 08.30 น. ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเดินทางมาถวายสักการะ รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ภายหลังจากทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรเสียก็รู้สึกภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยในแผ่นดินของรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ เมื่อหลายปีก่อนมีโอกาสเฝ้ารับเสด็จพระองค์ท่านที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก สำหรับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ตนจะนำมาปรับใช้นั้น คงเป็นเรื่องของการทำงานว่าจะต้องมีความมุ่งมั่น และตั้งใจทำงาน ทำให้สุดกำลังความสามารถที่มี