สกู๊ปหน้า 1 มติชน : เสียงบ่นคนจมฝุ่น สุขภาพแย่ – เศรษฐกิจยวบ
หลายพื้นที่ในประเทศไทยประสบปัญหาหมอกควันไฟ และค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือพีเอ็ม2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือสถานการณ์มีความรุนแรงมากในรอบหลายปี เกิดจุดฮอตสปอตจำนวนมาก และค่าพีเอ็ม2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานที่ยาวนานถึง 15 วันติดต่อกัน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและการประกอบอาชีพ ตลอดจนธุรกิจต่างๆ ในพื้นที่ เนื่องจากประชาชนไม่อยากออกนอกบ้าน ขณะที่นักท่องเที่ยวหรือประชาชนต่างถิ่นก็เข้าไปท่องเที่ยวในพื้นที่น้อยลง ส่งผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่
กวิน มณีรัตน์ อายุ 67 ปี ชาวบ้านชุมชนบ้านไร่ ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย ประกอบอาชีพร้านซัก อบ รีด ระบายให้ฟังว่า ปีนี้สถานการณ์ไฟป่าหมอกควันรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ชุมชนถูกหมอกควันปกคลุมตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำให้หายใจลำบาก มีแต่กลิ่นเหม็นควันไฟแสบตา แสบจมูก และหายใจติดขัด เป็นไข้หวัด ไอและเจ็บคอ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ป้องกันตัวเองพยายามอยู่ภายในบ้านที่มีเครื่องปรับอากาศ หรือสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่น หากจำเป็นต้องอยู่นอกบ้าน
นอกจากนี้ ยังกระทบกับธุรกิจเพราะเสื้อผ้าที่ซักจะแห้งช้า ปกติจะใช้เวลาตาก 2-3 ชั่วโมง ก็นำมารีดได้แล้ว แต่ทุกวันนี้ต้องใช้เวลาตากยาวนานกว่า 5 ชั่วโมงผ้าถึงจะแห้งสนิท เพราะหมอกควันทำให้สภาพอากาศปิด ไม่ค่อยมีแสงแดด ลูกค้าที่มาใช้บริการก็ลดลงไปบ้าง ประกอบกับเป็นช่วงปิดภาคเรียนทำให้คนที่เช่าหอพัก นักเรียนนักศึกษาที่เป็นลูกค้าหลักต้องกลับบ้านทำให้ลูกค้าน้อยลง
ปัญหาหมอกควันเกิดซ้ำซากทุกปี เหมือนเป็นปัญหาประจำฤดูกาล หมอกควันอาจมาจากหลายปัจจัย และเป็นกันทั่วภาคเหนือ ไม่รู้ว่าจะเรียกร้องอะไร แต่อยากให้หมอกควันหายไปโดยเร็ว ช่วงการเกิดฝุ่นภาครัฐก็ไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านอะไรมากนัก มีเพียงนำหน้ากากอนามัยมาแจกจ่ายให้เป็นบางครั้งเท่านั้น กวินบ่นปิดท้าย
ด้าน ชูพงษ์ ผิวผ่อง อายุ 34 ปี อาชีพส่งนมตามร้านค้าในเขตเทศบาลนครเชียงราย เสริมว่า ปีนี้หมอกควันหนักหนาสาหัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากจะมีควันไฟปกคลุมหนาแน่นแล้ว ยังกินเวลายาวนานกว่าทุกปี ส่งผลต่ออาชีพของผมอย่างมาก เพราะต้องขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างไปส่งนม และต้องขี่ไปตามท้องถนนทุกวัน ควันไฟทำให้แสบตาจนน้ำตาไหลออกมาตลอด นอกจากนี้ ยังแสบคอ การขี่รถก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะทัศนวิสัยในการมองเห็นต่ำ บางวันที่มีหมอกควันหนาแน่นมองแทบไม่เห็นถนนเลย เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก
มิหนำซ้ำยังกระทบต่ออาชีพด้วย จากปกติยอดการส่งนมตามร้านค้าหรือร้านของชำทั่วไป จำหน่ายได้วันละกว่า 10,000 บาท แต่พอมีปัญหาหมอกควันยอดขายหายไปกว่า 20-30 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงวันละ 6,000-7,000 บาทเท่านั้น คาดว่าเป็นเพราะหมอกควันทำให้คนไม่ค่อยออกจากบ้าน ทำให้สินค้าตามร้านต่างๆ ขายไม่ค่อยได้ ส่งผลกระทบถึงอาชีพผมด้วย เพราะทำให้เปอร์เซ็นต์จากยอดขายลดลง รายได้ต่อเดือนจึงลดตามไปด้วย
การแก้ปัญหาของภาครัฐ ยังไม่ได้ตรงจุดเท่าไหร่นัก การดับไฟและนำรถมาพ่นน้ำเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ อยากให้ภาครัฐเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าเกิดจากอะไร แต่ยังให้เกิดปัญหาหมอกควันซ้ำซากทุกปี ชาวบ้านไม่ขออะไรมาก
ในระยะเร่งด่วนก็อยากให้นำหน้ากากอนามัยชนิด N95 ที่ป้องกันหมอกควันได้จริงๆ มาแจกให้ชาวบ้านทุกครัวเรือน ตอนนี้มีแจกบ้างแต่น้อยไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องหาซื้อเอง แต่ก็ซื้อได้เพียงหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ไม่สามารถป้องกันฝุ่นได้ ส่วนในระยะยาวอยากให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ให้เกิดไฟป่าและหมอกควันแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่เกิดทีก็แก้ที่ปลายเหตุเช่นนี้ ชูพงษ์เสนอแนะการแก้ปัญหาและการช่วยเหลือชาวบ้าน
ขณะที่ ลำไย ใสสุทธิ์ อายุ 67 ปี ชาวบ้านย่านประตูเชียงใหม่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ระบายความเดือดร้อนจากฝุ่นควันที่ปกคลุมตัวเมืองเชียงใหม่ว่า ได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากตัวเองเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล แสบตา ไอ มีอาการคล้ายเป็นหวัด ประกอบกับอากาศร้อนทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ต้องไปพบแพทย์เพื่อรักษาและนำยามารับประทาน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทั้งค่าเดินทาง ค่ารักษาและค่ายา
เท่าที่ติดตามสถานการณ์ฝุ่นควัน พบว่าเชียงใหม่มีค่าพีเอ็ม2.5 เกินค่ามาตรฐาน 4-5 เท่ามาหลายวัน บางวันติดอันดับ 1 ของโลก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมาก อยากให้ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจกหน้ากากอนามัย หรือแว่นตาป้องกันฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนระยะยาวต้องมีกฎหมายควบคุม และห้ามเผาทุกฤดูกาลไม่ใช่ให้ชิงเผาเพื่อกำจัดวัชพืชและหาของป่า ล่าสัตว์ รวมทั้งเพาะปลูกฤดูกาลใหม่ นอกจากนี้ ต้องขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันไร้พรมแดน
ที่สำคัญรัฐควรมีค่าชดเชย เยียวยาแก่ผู้ประสบภัยดังกล่าว โดยลงทะเบียนผู้ที่ได้รับผลกระทบแอพพ์หมอพร้อม หรือเป๋าตัง เพื่อนำไปรักษาและดูแลสุขภาพป้องกันตนเองด้วย ป้าลำไยวอนภาครัฐเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและระยะยาว รวมทั้งชดเชยเยียวยาชาวบ้านด้วย
มานิต ถิ่นคง ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านจัดสรร ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ระบุว่า ถึงมีปัญหาฝุ่นควันคนงานยังทำงานก่อสร้างตามปกติ เพราะเป็นลูกจ้างรายวัน ถ้าหยุดงานก็ไม่มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว คนงานจึงต้องสู้กับฝุ่นควัน และแสงแดด เพราะกลัวอดตายมากกว่า แต่ก็ต้องดูแลคนงานอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากทำงานในที่โล่งแจ้ง
ที่ทางจังหวัดขอความร่วมมือให้คนงานทำงานที่บ้าน หรือเวิร์กฟรอมโฮมนั้น สำหรับอาชีพตัวเองคงทำได้ยาก เพราะเป็นเรื่องปากท้องชาวบ้านสำคัญกว่า
ส่วนความช่วยเหลือก็มีเพียงให้ประชาชนไปรับหน้ากาก และตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เท่านั้น ส่วนการช่วยเหลือระยะยาวอยากให้รัฐดูแลประชาชนบนพื้นที่สูงหรือห่างไกลมากขึ้น โดยเฉพาะส่งเสริมอาชีพราษฎรแบบยั่งยืน เพื่อป้องกันและลดเผาป่าที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวด้วย ผู้รับเหมาก่อสร้างแนะนำทิ้งท้าย
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการระบายอารมณ์ของประชาชน ที่ต้องประสบภัยวิกฤตฝุ่นจิ๋วพิษ พร้อมเสนอแนะให้ภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว ไม่ให้เกิดปัญหารุนแรงซ้ำซาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และเศรษฐกิจในพื้นที่