กรมวิทย์ฯยันโควิด XBB.1.16 ตรวจ ATK ได้ผล ไม่แรงเท่าเดลต้า ชี้ ‘ตาแดง’ ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ สธ.สั่ง รพ.จังหวัดทั่ว ปท.ส่งเชื้อตรวจแล็บอย่างน้อย 15 ตัวอย่าง
เมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯ และ ดร.พิไลลักษณ์ อัคคไพบูลย์ โอกาดะ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ แถลงอัพเดตสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 และสายพันธุ์ที่เฝ้าติดตามในประเทศไทย ว่า กรมวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ติดตามการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 พบเชื้อไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง สำหรับสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกติดตามใกล้ชิดในปัจจุบัน ได้แก่ สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 1 สายพันธุ์ คือ XBB.1.5 สายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 7 สายพันธุ์ คือ BQ.1*, BA.2.75*, CH.1.1*, XBB*, XBB.1.16*, XBB.1.9.1* และ XBF*
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สถานการณ์สายพันธุ์ทั่วโลก สัปดาห์ที่ 12 (วันที่ 20-26 มีนาคม 2566) สายพันธุ์ XBB.1.5 มีรายงานการตรวจพบจาก 95 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 47.9 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วน XBB*, XBB.1.16*, XBB.1.9.1* มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยพบสัดส่วน ร้อยละ 17.6, ร้อยละ 7.6 และ ร้อยละ 4.0 ตามลำดับ
“สำหรับประเทศไทย สัปดาห์ที่ 8-14 เมษายน 2566 สายพันธุ์ XBB* มีสัดส่วนลดลง แต่ยังเป็นสายพันธุ์ที่พบมาก เป็นลำดับที่ 1 โดย XBB.1.16* พบในตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อช่วงเดือนมีนาคม 2566 จำนวน 22 ราย และเดือนเมษายน 2566 จำนวน 5 ราย (XBB.1.16 = 26 ราย และ XBB.1.16.1 = 1 ราย) รวมเป็น 27 ราย สำหรับ XBB.1.9.1* มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.1 เป็น ร้อยละ 15 ในส่วนของ XBB.1.5 พบมากเป็นลำดับที่ 2 โดยพบสัดส่วน ร้อยละ 27.5 ทั้งนี้ ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับความรุนแรงในการก่อโรคที่เพิ่มขึ้น และข้อมูลจากห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่า XBB.1.16 มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ XBB และ XBB.1.5 แต่คุณสมบัติด้านการหลบภูมิคุ้มกันยังคงเหมือนกัน” นพ.ศุภกิจ กล่าว
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า สายพันธุ์ XBB.1.16 เป็นสายพันธุ์ลูกผสมจาก BA.2.10.1 และ BA.2.75 มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนหนาม ได้แก่ E180V, F486P และ K478R รายงานครั้งแรกจากประเทศอินเดีย เมื่อเดือนมกราคม 2566 ต่อมาองค์การอนามัยโลกจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง (VUM) เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2566 พบมากที่สุดในประเทศอินเดีย รองมาคือ สหรัฐอเมริกา โดยพบการระบาดมากในช่วงสัปดาห์ที่ 12 ของปี 2566 (วันที่ 20-26 มีนาคม 2566) อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XBB.1.16 มีลักษณะอาการทางคลินิกของโรคเยื่อบุตาอักเสบ คันตา มีขี้ตา ร่วมด้วย แต่ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่า อาการดังกล่าวเป็นลักษณะจำเพาะที่เกิดจากสายพันธุ์ XBB.1.16
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อไปว่า การตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี Real-time PCR และ ชุดทดสอบ ATK สามารถใช้ตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ลูกผสม เพื่อค้นหาผู้ป่วยช่วยในการวินิจฉัยและแยกตัวผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว การทำงานของ ATK อาศัยหลักการทดสอบทางภูมิคุ้มกัน (Immunoassay) ซึ่งเป็นหลักการที่อาศัยการจับกันระหว่างแอนติเจน (antigen) และแอนติบอดี (antibody) โดยส่วนใหญ่ออกแบบให้ตรวจจับโปรตีน N ซึ่งการกลายพันธุ์บนโปรตีนหนามไม่ส่งผลกระทบ
“กรมวิทยาศาสตร์ฯ จะเก็บตัวอย่างจากผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ และประสานขอให้โรงพยาบาล (รพ.) ทั่วประเทศ ส่งตัวอย่างตรวจสายพันธุ์เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต เพื่อเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ต่อไป สำหรับประชาชนมาตรการป้องกันส่วนบุคคล สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และฉีดวัคซีน จะช่วยลดการแพร่เชื้อและรับเชื้อ โดยเฉพาะการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีความเสี่ยง และขอให้ความมั่นใจว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่าย ยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อ SARS-CoV-2 อย่างต่อเนื่อง และเผยแพร่บนฐานข้อมูลโควิดโลก หรือจีเสด (GISAID) ซึ่งเป็นสากลอย่างสม่ำเสมอ” นพ.ศุภกิจ กล่าวและว่า ทั้งนี้ จะต้องจับตา XBB.1.16 ว่าแพร่เร็วจริงหรือไม่ ถ้าเร็วจริงก็จะเบียด XBB.1.5 ส่วนของไทยจะต้องติดตามข้อมูลถึงประมาณกลางเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อดูว่า XBB.1.16 จะมาเบียด XBB.1.5 หรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่รุนแรงเท่าเชื้อเดลต้า
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า เรื่องการหลบภูมิคุ้มกันก็จะทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก ส่วนวัคซีนโควิดในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อ ก็ได้ผลลดลงบ้าง แต่หากติดเชื้อแล้วอาการจะไม่รุนแรง โดยอาการป่วยจะไม่แตกต่างจากสายพันธุ์อื่น ส่วนที่มีประเด็นเดียวคือ รายงานในประเทศอินเดียพบว่าเด็กเล็กมีอาการตาแดง คันตา รวมถึงตาลืมยาก แต่จะไม่มีหนอง เป็นอาการที่พบได้แต่ไม่มีข้อมูลว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการทางตามากน้อยอย่างไร แต่ย้ำว่าอาการสำคัญคือเป็นไข้ ดังนั้น ตาแดงไม่ใช่ข้อบ่งชี้ เพราะตาไม่แดงก็ติดเชื้อ XBB.1.16 ได้
นพ.บัลลังก์ กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดจากประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ยืนยันว่า อาการของ XBB.1.16 ไม่แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ อาการคล้ายกันมาก ส่วนอาการเยื่อบุตาอักเสบพบมากในผู้ป่วยเด็กเล็กในอินเดีย และคู่กับมีไข้ ย้ำว่าไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกจนเกินไป ขณะที่ปัจจุบันวัคซีนโควิดยังได้ผลดี อย่างไรก็ตาม การเพิ่มกำลังเฝ้าระวังสายพันธุ์ ปลัด สธ.สั่งการให้โรงพยาบาล (รพ.) จังหวัดทุกแห่งส่งตัวอย่างเชื้ออย่างน้อย 15 ตัวอย่าง ด้วยเกณฑ์ 1.เสียชีวิต 2.มีอาการรุนแรง 3.เป็นชาวต่างชาติ 4.บุคลากรการแพทย์ 5.กลุ่มผู้ที่ภูมิบกพร่อง และ 6.การติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ ทั้งเล็กและใหญ่ โดยให้ส่งตัวอย่างมายังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ฉะนั้น ส่วนกลางจะได้ตัวอย่างสัปดาห์ละ 700 ตัวอย่าง เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมหาสายพันธุ์ในระดับประเทศ