หมอศิริราช คาดไทยติดโควิดวันละ 5พัน-หมื่นคน แค่พีคเล็ก ลดลงใน 2-3 สัปดาห์
เมื่อวันที่ 19 เมษายน รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีผู้เชี่ยวชาญมีข้อกังวลเกี่ยวกับยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่้มมากขึ้นหลังเทศกาลสงกรานต์ และสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โอมิครอนลูกผสม XBB.1.16 ที่พบแล้วในหลายประเทศรวมถึงไทย ว่า เมื่อวาน (18 เมษายน ) รับทราบการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 แล้วอดไม่สบายใจต้องมาแสดงความเห็นวันนี้
เรื่องแรก คือ แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ฉบับล่าสุด น่าจะเป็นคำแนะนำประเทศเดียวในโลกที่ยังดันทุรังมีติ่ง LAAB หรือภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป และฟาวิพิราเวียร์อยู่
“สำหรับ LAAB ไม่รู้ว่าเอาหลักฐานอะไรมาสนับสนุนการคงอยู่เป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษา โดยบอกว่าถ้าให้แล้วไม่ดีขึ้นใน 1-2 วัน จึงให้ยาต้านไวรัสอื่นต่อ แต่ถ้าให้แล้วแย่ลงไม่ยักบอก สงสัยต้องตัวใครตัวมัน ส่วนฟาวิพิราเวียร์ที่ทั่วโลกพิสูจน์ทราบมานานแล้วว่า ไม่ได้ประโยชน์ตั้งแต่ช่วงปลายยุคของโควิด-19 เดลต้า เป็นต้นมา แต่ก็ยังคงอยู่ยั้งยืนยงพร้อมคำอธิบายสรรพคุณ ที่อ่านแล้วชวนสงสัยว่า ถ้าดีอย่างนั้น ทำไมจึงไม่แนะนำให้ใช้ต่อไป การให้ความเห็นต่อเรื่องสุขภาพสู่สาธารณะ” รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ระบุ
เรื่องที่สอง คือ มีการเผยแพร่ความเห็นของนักวิชาการท่านหนึ่งเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบัน ในช่วงแรกก็ฟังรื่นหูว่า ให้ฉีดปีละครั้งพร้อมวัคซีนไข้หวัดใหญ่เริ่มในเดือนหน้า แต่คนทั่วไปอาจยังไขว้เขว เพราะรอบการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในปีที่แล้วมีตลอดทั้งปี แถมยังมีการติดเชื้อตามธรรมชาติเข้ามาแทรก ในความเห็นส่วนตัว ให้ยึดตามการจำแนกของผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนโควิด-19 องค์การอนามัยโลก เผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ใจความว่า ปัจจุบันประชากรโลกส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันทั้งจากการติดเชื้อตามธรรมชาติและการฉีดวัคซีน คำแนะนำการฉีดล่าสุด จึงมุ่งเน้นไปที่ปกป้องกลุ่มคนความเสี่ยงสูง ส่วนกลุ่มประชากรอื่นให้แต่ละประเทศพิจารณาตามความเหมาะสม
กลุ่มเสี่ยงสูง มี 5 กลุ่ม คือ ผู้สูงอายุ ผู้ใหญ่ที่ยังไม่สูงอายุแต่มีโรคเรื้อรังที่รุนแรง ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติที่รวมเด็กอายุเกิน 6 เดือนด้วย คนท้อง และ บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย แนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้นห่างจากเข็มก่อน 6-12 เดือน
กลุ่มเสี่ยงปานกลาง คือ กลุ่มคนอายุ 60 ปีลงมา ที่แข็งแรงดี และ กลุ่มเด็กถึงวัยรุ่นที่มีโรคเรื้อรังที่รุนแรง ให้ฉีดวัคซีนเข็มพื้นฐานจนครบ แล้วฉีดเข็มกระตุ้น 1 เข็ม ส่วนเข็มกระตุ้นครั้งต่อไปให้รอข้อมูลก่อน
กลุ่มเสี่ยงต่ำ คือ เด็กอายุ 6 เดือน จนถึงวัยรุ่นอายุ 17 ปี ให้แต่ละประเทศพิจารณาวัคซีนเข็มพื้นฐาน และเข็มกระตุ้นตามความเหมาะสม แต่ที่เขาไม่พูดมาให้ชัดของคำแนะนำการเลือกฉีดวัคซีนแบบแยกแยะนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะกลัวผลข้างเคียงทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังของวัคซีนด้วย เรื่องแบบนี้เดินสายกลางน่าจะดีที่สุด
เรื่องสุดท้ายจากทั้งหมด 3 เรื่อง คือ มีการเผยแพร่ในสื่อทั่วไปอย่างดารดาษ ว่า โอมิครอน “Arcturus หรือ XBB.1.16 (.1)” อาจทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่ในประเทศ แถมทำให้มีอาการรุนแรงได้ เช่น เลือดออกในทวารต่างๆ ของร่างกาย ที่จริงแล้ว อาการของผู้ติดเชื้อโควิด จะมากจะน้อยขึ้นกับปัจจัย 2 ด้าน คือ ปัจจัยทางด้านเชื้อ และปัจจัยทางด้านผู้ติดเชื้อ ในแง่เชื้อ ปัจจุบันโอมิครอนทุกสายตระกูลย่อย ยังไม่มีตัวใดรุนแรงกว่าบรรพบุรุษ ในแง่ผู้ติดเชื้อ ถ้ามีภูมิคุ้มกันระดับหนึ่งจากการเคยติดหรือเคยฉีด โอกาสโรคจะรุนแรงน้อยมากๆ ถ้ารุนแรงก็มักจะเป็นคนที่มีโรคทางร่างกายบางอย่างอยู่ก่อน หรือเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะทางพันธุกรรมบางอย่างทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในตัวตอบสนองต่อการติดเชื้อรุนแรงเกินเหตุ
ถ้าดูข้อมูลการเฝ้าระวังในบ้านเราเอง เชื้อนี้ตรวจพบในประเทศตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว และค่อยเพิ่มมากขึ้นจนตระกูล XBB นี้ กำลังจะแซงหน้าตระกูล BN แต่ทั้ง 2 ชนิดนี้ก็ร่วมบรรพบุรุษ BA.2 มาด้วยกัน ส่วนสายตระกูล BQ ที่มาจากบรรพบุรุษ BA.5 ดูเหมือนจะเร่งเครื่องไม่ขึ้นในบ้านเรา ในทางการแพทย์จึงไม่ได้กังวลในแง่ความรุนแรง และข้อมูลการเฝ้าระวังผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายเกินสัดส่วนที่ควรจะเป็นสำหรับผู้ติดเชื้อทั้งหมด
“ขณะนี้ประมาณการว่า คนในประเทศติดเชื้อราววันละ 5,000-10,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นพีคเล็กเมื่อเทียบกับพีคของปีก่อน และน่าจะค่อยๆ ลดลงใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเชื้อตัวนี้อาจแหวกภูมิคุ้มกันได้บ้าง แต่ส่วนหลักน่าจะเป็นเพราะเราเปิดประเทศให้คนนอกและคนของเรามากขึ้น อีกทั้งคนที่เคยติดโอมิครอนช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน ก็ได้เวลาจะติดซ้ำอีกรอบเมื่อมีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น แต่ผลเสียจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้นนี้ ผมคิดว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประโยชน์ของประเทศในการเดินหน้าทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการเลือกตั้งที่เราหวังว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้บ้าง” รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ระบุ
นอกจากนี้ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ ระบุว่า การให้ความเห็นต่อเรื่องสุขภาพสู่สาธารณะ นักวิชาการต้องถือหลัก 3 ประการ คือ 1.ให้ข้อมูลที่มีหลักฐานสนับสนุนทางวิชาการเพียงพอ ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนบุคคลหรืออิทธิพลทางการเมืองมากำหนด 2.ถ้าส่วนใดเป็นการแสดงความเห็นส่วนบุคคล ต้องพร้อมรับผิดชอบ รวมถึงยอมแก้ไขเมื่อมีข้อมูลใหม่มายืนยัน 3.สื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงประเด็น และเหมาะสมกับระดับการรับรู้ของผู้ฟัง พูดให้เขาเข้าใจและเชื่อตามที่เรารู้ ไม่ใช่พูดเพื่อแสดงว่าเรารู้แล้วให้เขาเชื่อตาม