กรุงเทพมหานครน้อมนำพระราชดำรัสเกี่ยวกับการจัดการยุงลาย จัดกิจกรรมรณรงค์ “ประสานพลัง ต้านภัย ไข้เลือดออก”

กรุงเทพมหานคร โดยสำนักอนามัย นำโดยนายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ลำดับที่ห้าจากซ้าย) จัดกิจกรรมรณรงค์ “ประสานพลัง ต้านภัย ไข้เลือดออก” เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน ครู เจ้าหน้าที่ และผู้ปกครอง มีความรู้ ความเข้าใจสามารถปฏิบัติตนเพื่อให้ปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออก และมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคไข้เลือดออกในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างยั่งยืน โดยมีนพ. เมธิพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กทม. (ขวาสุด) ศ.นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา (ลำดับที่สามจากขวา) และคุณแวนด้า สหวงษ์ (ลำดับที่สามจากซ้าย) ร่วมงานและร่วมเสวนาให้ความรู้ ณ โรงเรียนวัดราชบพิธ เขตพระนคร

กรุงเทพฯ 20 ธันวาคม 2559นายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมรณรงค์ “ประสานพลัง ต้านภัย ไข้เลือดออก”โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน ครู เจ้าหน้าที่ และผู้ปกครอง มีความรู้ ความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตนเพื่อให้ปลอดภัยจาก โรคไข้เลือดออก โดยน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ความว่า “โครงการปราบยุงลายคั่งค้างมานานแล้ว และอันตรายยังมีอยู่มาก อยากให้ปราบปรามอย่างจริงจัง อันตรายจากไข้เลือดออกจะได้ทุเลาลง” โดยสำนักอนามัย ร่วมกับโรงเรียนวัดราชบพิธ สำนักงานเขต และภาคีเครือข่าย กำหนดจัดกิจกรรม ณ โรงเรียนวัดราชบพิธ เขตพระนคร

นายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า “โรคไข้เลือดออกยังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศและในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากยังมีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกต่อเนื่องมาทุกปี โดยกลุ่มเสี่ยงอยู่ในกลุ่มวัยเรียน อายุระหว่าง 10 – 24 ปี  ทั้งนี้ในปี 2559 พื้นที่เขตพระนคร มีอัตราป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกอยู่ในอันดับที่ 17 จาก 50 เขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งโรงเรียนวัดราชบพิธ มีเด็กนักเรียนทั้งหมด 1,700 คน และเคยมีเด็กนักเรียนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาทุกปี  จึงเห็นว่าควรมีการส่งเสริมให้นักเรียน ครูและผู้ปกครอง มีความรู้ ความเข้าใจและรู้จักป้องกันตนเองจากโรคไข้เลือดออกอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและถือเป็นนโยบายสำคัญยิ่งของกรุงเทพมหานครในการดำเนินการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างยั่งยืน โดยทุกภาคส่วน ทุกคน น้อมนำพระราชดำรัสมาถือปฏิบัติร่วมมือกันกำจัดยุงลายพาหะนำโรคไข้เลือดออกอย่างจริงจังและให้ตระหนักว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตลอดจนมีการสืบสานต่อเนื่องไปยังบ้าน ครอบครัว ชุมชน ของนักเรียนทุกคน โดยโรงเรียนเป็นผู้สนับสนุนให้กิจกรรมของนักเรียนเกิดอย่างเป็นรูปธรรม อันจะช่วยให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออกและโรคอื่นๆที่ยุงเป็นพาหะนำโรคร่วมด้วย”

ศ.นพ. สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวระหว่างการเสวนาบนเวทีว่า  “เชื้อไวรัสไข้เลือดออกซึ่งมียุงลายเป็นพาหะมีทั้งหมด 4 ชนิดซึ่งทำให้เป็นโรคไข้เลือดออก ซึ่งหมายความว่า ทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นไข้เลือดออกได้มากกว่า 1 ครั้ง โดยแต่ละครั้งเกิดจากเชื้อต่างชนิดกัน นอกจากนี้ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกได้ทั้งสิ้น และสามารถเป็นโรคไข้เลือดออกขั้นรุนแรงได้ตั้งแต่การติดเชื้อครั้งแรก แม้แต่คนที่มีร่างกายแข็งแรงก็ตาม และสิ่งที่สำคัญของการสังเกตอาการคือระยะเริ่มต้น ผู้ที่ติดเชื้อไข้เลือดออกในช่วงแรก อาจมีอาการคล้ายการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น เช่น มีไข้ คลื่นไส้ รู้สึกไม่สบาย ปวดเมื่อย มีผื่น ต่อมน้ำเหลืองบวม หรืออาจไม่มีอาการเลย หากปล่อยทิ้งไว้อาการจะพัฒนาไปสู่ขั้นรุนแรง จนอวัยวะภายในถูกทำลายจนถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นหากสงสัยว่าโดนยุงลายกัดหรือเป็นโรคให้รีบพบแพทย์ทันที และควรงดการใช้ยาแอสไพริน และไอบูโพรเฟน เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้น”

Advertisement

นพ. เมธิพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กทม. กล่าวเสริมว่า “โรคไข้เลือดออกมีการระบาดตลอดทั้งปีไม่จำกัดแค่ในฤดูฝน เนื่องจากประชาชนมีการเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับฤดูหนาวและฤดูร้อน โดยกว่าร้อยละ 90 ของแหล่งเก็บน้ำเหล่านี้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย  อีกทั้งปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคไข้เลือดออก ดังนั้นวิธีการควบคุมไข้เลือดออกที่ได้ผลมากที่สุด คือการกำจัดลูกน้ำยุงลายพาหะนำโรค ดังนั้น การให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อเข้าไปกำจัดยุงลายจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก และนอกจากนั้น เรายังสามารถช่วยกันป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ด้วยตนเองจากการดูแลรอบบ้านและชุมชนของเราไม่ให้มีน้ำขังแม้เพียงเล็กน้อยในภาชนะทุกชนิดหรือในขยะ โดยเฉพาะภาชนะที่มองข้ามกันมากที่สุดคือ ยางรถยนต์ แจกันดอกไม้ หรือ แก้วน้ำบูชาพระ เป็นต้น นอกจากนี้สามารถดูแลตนเองได้ด้วยการสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ฉีดยากำจัดยุงทุกๆ 7 วัน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image