ปลัดทส.ยัน ตั้งกรมโลกร้อน ช้ากว่าเพื่อนบ้าน แต่ไม่สายเกินไป จะทำงานต่อเนื่อง
กรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการตั้ง “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” หรือ กรมโลกร้อน ขึ้นอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว โดยได้ เปลี่ยนชื่อ “กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป นั้น
วันที่ 19 สิงหาคม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ให่สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีมากที่มีหน่วยงานเช่นนี้ขึ้นมาอย่างเป็นทางการโดยตรง จะถือเป็นกรมที่มีกรมที่มีกำลัง และศักกายภาพในการทำงานด้านการจัดการเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยตรง เหมือนกรมอื่นๆที่มีหน้าที่หลักๆของตัวเอง เช่น กรมอุทยานฯดูเรื่องป่าไม้ เป็นต้น ซึ่ง กรมโลกร้อนนี้ จะทำหน้าที่ออกแอคชัน เรื่องวิธีการปรับตัว การสร้างการรับรู้ หาวิธีการ มาตรการ ที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดเอาไว้ สำหรับการรับมือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิอากาศ
“ยืนยันว่าประเทศไทยตั้งใจมากสำหรับการทำงานเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อหน่วยงานเท่านั้น แต่จะเป็นการทำงานแก้ปัญหาจริงๆ เพราะวันนี้ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เป็นปัญหาระดับโลก เกิดขึ้นทั่วโลก รุนแรง และหนักขึ้นมาเรื่อยๆ ตัวอย่างเห็นชัดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ไฟป่าที่ฮาวาย น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทั้งในยุโรป และอเมริกา ทั้งหมด ล้วนมาจากความแห้งแล้ง และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่รุนแรง ยอมรับว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทย อาจจะตั้งหน่วยงานนี้ช้ากว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ยังไม่สายสำหรับการทำงาน ที่จะทำอย่างต่อเนื่องในอนาคต”นายจตุพร กล่าว
เมื่อถามว่า แอคชันแรก ที่กรมโลกร้อนจะต้องทำหลังจากนี้คืออะไร ปลัด ทส. กล่าวว่า ความจริงการทำงานเรื่องนี้ ทำอยู่แล้ว ตั้งแต่เป็นกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และในส่วนของ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม(สผ.) แต่หลังจากนี้ เรื่องของมาตรการ การรับรู้ และปรับตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ตั้งเป็นหน่วยงานย่อยๆระดังจังหวัด ก็จะต้องมีบทบาทการทำงานเพิ่มมากขึ้น ที่จะทำให้ประชาชนรับรู้ และตระหนัก ตลอดจนมีส่วนร่วมในการลดปัญหา และแก้ปัญหาไปด้วยกัน
