สธ.ยัน”เฟซออฟ ผ่าแหลกฯ” ผิดกฏหมาย สคบ.เต็มๆ เล็งเพิกถอนใบอนุญาตรพ.ที่ทำย่านทาวน์อินทาวน์

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) แถลงข่าวกรณีศัลยกรรมตกแต่งนายสุรชัย สมบัติเจริญ นักร้องเพื่อให้ใบหน้ากระชับแต่กลับมีการอวดอ้างว่า เป็นการทำเฟซออฟ ว่า จากข่าวดังกล่าวได้สร้างความสนใจให้แก่สังคม จนเกิดคำถามว่าปกติมีการทำแบบนี้อยู่แล้วหรืออย่างไร อย่างไรก็ตาม ล่าสุดสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย สมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย และสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย ได้แจ้งความดำเนินคดีเกี่ยวกับการทำการเผยแพร่กระแสข่าวศัลยกรรมใบหน้าโดยใช้คำว่า เฟซออฟ (Face Off) และได้ประสานมาทาง สบส. เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้ช่วยดำเนินการเอาผิดนั้น

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า 1. คำว่า เฟซออฟ นั้น ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการทางการแพทย์ศัลยกรรม เพราะการทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าที่เป็นการดึงหน้า ยกกระชับ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ล้วนเป็นการทำศัลยกรรม ที่ทำกันมานาน ไม่ได้มีความแปลกใหม่ แต่การใช้คำว่า เฟซออฟ เป็นการแต่งคำมากกว่า ดังนั้น ขอให้ประชาชนอย่าแตกตื่น และหลงเชื่อว่าเป็นศัลกรรมด้วยเทคนิคใหม่ ซึ่งไม่ใช่ 2.เกิดคำถามว่าเป็นการโฆษณาหรือไม่ จากการตรวจสอบถือว่าเป็นการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงตามหลักวิชา และมีการบอกว่าหากทำแล้ว จะลดอายุลงได้มาก ซึ่งข้อมูลทางวิชาการไม่ได้บอกขนาดนั้น อยู่ที่บุคคล การให้ข้อมูลลักษณะนี้ไม่ตรงตามความจริง

“ที่สำคัญข้อ 3 คนที่ออกมาระบุหรือพูดทำนองโฆษณาต้องพิจารณาว่า เป็นแพทย์ และมีการกล่าวอ้างถึงสถานพยาบาลหรือไม่ หากมี ทางกรมฯ ก็สามารถดำเนินการได้ทันที ปัญหาคือ ยังไม่พบ โดยบุคคลที่พูดคือ ดร.เซปิง ไชยสาส์น ที่ออกมาพูดกับคุณสุรชัยนั้น พบว่าไม่ใช่แพทย์ แต่ไม่ใช่ว่าจะพ้นผิด เพราะเข้าข่ายความผิดกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งมีกฎหมายในมือสามารถดำเนินคดีด้านการโฆษณาเกินจริงได้ ขณะที่การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดียก็จะสามารถเอาผิดได้ตามระเบียบของ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550” น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับกรณีนี้ในตัวโครงการระบุชื่อว่า “Face Off ผ่าแหลก ศัลยกรรม 10 อย่างบนหน้ากระชากความแก่จาก 60 ให้เหลือ 35 Dr.Xeping” จะเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจนหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าวว่า ผิดชัดในแง่ของ สคบ. แต่ในส่วนของ สบส. จะต้องพิจารณาว่าเป็นการโฆษณาโดยแพทย์ หรือสถานพยาบาลหรือไม่

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเอาผิดสถานพยาบาลและแพทย์ได้หรือไม่ เพราะมีการมองว่าอาจเกี่ยวข้องกัน น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ทางสบส. จะร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และสคบ. ในการไปตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งในส่วน สบส. จะทำได้ในการตรวจสถานพยาบาลและแพทย์ว่า เชื่อมโยงกับทางบริษัทเอเจนซี่ในการโฆษณาอย่างไรบ้าง ก็จะมีวิธีในการตรวจสอบอยู่ ซึ่งหากพบว่า เชื่อมโยงกัน หรือมีส่วนได้ส่วนเสีย รู้เห็นเป็นใจกับการโฆษณาของ ดร.เซปิง ก็จะเข้าข่ายมีความผิดตามมาตรา 38 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 11 พ.ศ.2546 เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโฆษณาสถานพยาบาล มีโทษปรับ 20,000 บาท แต่โทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000 บาทจนกว่าจะเลิกโฆษณานั้นๆ รวมทั้งหากเกี่ยวเนื่องกับแพทย์ ก็จะส่งให้แพทยสภาพิจารณาด้านจริยธรรมในวิชาชีพ ขณะที่สถานพยาบาลก็จะถูกตรวจสอบการพักใช้ใบอนุญาตไปจนรุนแรงอาจถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาล ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็พบการเชื่อมโยงกันระหว่างสถานพยาบาลและเอเจนซี่ค่อนข้างมาก

ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วประเทศมีสถานความงามขึ้นทะเบียนกว่า 1,458 แห่ง โดยทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ห้ามอวดอ้างและชักชวนให้ผู้บริโภคไปใช้สถานพยาบาล เช่น อ้างสรรพคุณการรักษาดีที่สุด เป็นเลิศ ซึ่งทำไม่ได้

วันเดียวกัน สบส.ได้ร่วมกับสคบ.และบก.ปคบ. ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งกมล ย่านทาวน์อินทาวน์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเสริมความงามที่ทำการผ่าตัดให้นายสุรชัย เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางเสริมความงาม 30 เตียง ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของพ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ มีนางศิริเพ็ญ พันธุ์ศรีทุม เป็นผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มีนพ.มนัส เสถียรโชค เป็นผู้ดำเนินการสถานพยาบาล

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image