เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง กลุ่มพลเมืองโต้กลับและกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ ประกอบด้วย นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ, นายสิรวิชญ์ หรือ “จ่านิว” เสรีธิวัฒน์, นายรังสิมันต์ โรม, นายอานนท์ นําภา กับพวกรวม 15 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับพวกรวม 5 คน เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานเป็นกบฏ ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ หรือแบ่งแยกราชอาณาจักรโดยใช้กำลังประทุษร้าย และกระทำการสะสมกำลังพล หรืออาวุธ หรือสบคบกันเพื่อเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และ 114
ตามฟ้องโจทก์วันที่ 22 พฤษภาคม 2558 บรรยายพฤติการณ์ เมื่อระหว่างวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2557 จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้กำลังขู่เข็ญประทุษร้ายและล้มล้างเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อันเป็นความผิดฐานกบฏ และพวกจำเลยยังได้ออกคำสั่งในนาม คสช.หลายฉบับ อันเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ทำให้โจทก์ทั้ง 15 คนได้รับความเสียหาย
ศาลอาญาได้พิจารณาคำฟ้องประกอบข้อกฎหมาย ในชั้นตรวจรับคำฟ้องแล้ว เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 บัญญัติยกเว้นความผิดและความรับผิดการกระทำทั้งหลายในการยึดอำนาจและการควบคุมอำนาจปกครองแผ่นดิน ของหัวหน้าคณะและ คสช.ไว้ จึงพ้นจากความรับผิดโดยสิ้นเชิง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 ไม่รับฟ้องคดีดังกล่าว ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยไม่ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บัญญัติมาตรา 47 และ 48 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 เพื่อนิรโทษกรรมให้กับการทำรัฐประหารและการกระทำในรูปแบบต่างๆ นั้น เป็นการผิดระบอบประชาธิปไตย และละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายจะต้องมีสภาพเป็นข้อความคิดที่เชื่อมโยงและใช้ความยุติธรรม หรือเกิดขึ้นโดยปราศจากความยุติธรรมทางจิตวิญญาณ ความปรารถนาของสังคม จึงไม่สามารถอ้างมาตรา 47,48 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อเป็นเหตุยกเว้นความผิด จึงชอบที่ศาลชั้นต้นชอบจะรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 162
ขณะที่วันนี้ นายพันธ์ศักดิ์, นายสิรวิชญ์, นายรังสิมันต์, นายอานนท์ พร้อมพวก 7 คนเดินทางมาศาล เพื่อร่วมฟังคำพิพากษา
โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคดีอาญาที่ประชาชนเป็นโจทก์ ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องเพื่อวินิจฉัยคดีก่อน ซึ่งวัตถุประสงค์ของการไต่สวนมูลฟ้องให้ศาลได้ไต่สวนพยานหลักฐานของโจทก์ในเบื้องต้นว่า โจทก์มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยในชั้นพิจารณา แต่อย่างไรก็ตาม ในชั้นตรวจรับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด และคดีขาดอายุความจึงเห็นควรตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษจึงชอบที่จะมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้อง และตามรัฐธรรมนูญฯ ชั่วคราว มาตรา 48 ที่บัญญัติว่า การกระทำทั้งหลายเนื่องในการยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ของหัวหน้า คสช.รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้อง การกระทำต่างๆ จะไม่มีผลบังคับทางรัฐธรรมนูญ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ดังนั้น แม้จำเลยทั้งห้า จะกระทำตามโจทก์บรรยายฟ้อง ย่อมทำให้จำเลยทั้งห้ากับพวกพ้นจากความผิดโดยสิ้นเชิง ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ดังกล่าว ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูลที่ศาลจะรับไว้พิจารณา โดยไม่รับคำฟ้องของโจทก์ไว้ไต่สวนมูลฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายกฟ้อง
ด้านนายอานนท์ ทนายความ กล่าวว่า จะฎีกาต่อสู้ประเด็นเดิม คือการรัฐประหารนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการล้มอำนาจบริหาร ตุลาการและนิติบัญญัติ การไปยอมรับรับอำนาจรัฐประหารจะทำให้เกิดวงจรอุบาทว์เช่น ทหารจะออกมายึดอำนาจอยู่เรื่อยไป และตนคิดว่าถ้าได้วินิจฉัยในระบอบของประชาธิปไตยคิดว่าชนะคดีแน่นอน