ชีวิต ‘หมอกฤตไท’ เจ้าของเพจสู้ดิวะ ผู้ต่อสู้กับมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ก่อนถึงวันออกเดินทางไกล

ชีวิต ‘หมอกฤตไท’ เจ้าของเพจสู้ดิวะ ผู้ต่อสู้กับมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ก่อนถึงวันออกเดินทางไกล

5 ธันวาคม 2566 กลายเป็นวันโศกเศร้าของครอบครัว ธนสมบัติกุล และผู้ติดตาม นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล หรือ หมอไท เจ้าของเพจ สู้ดิวะ ซึ่งเป็นผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย โดย นายไทภัทร ธนสมบัติกุล หรือพ่อของหมอกฤตไท ได้แจ้งข่าวร้ายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการจากไปอย่างสงบของลูกชาย ด้วยการโพสต์รูป นพ.กฤตไท และแคปชั่นสั้นๆ ว่า “เดินทางปลอดภัยครับ ลูกชาย #สู้ดิวะ”

เป็นการออกเดินทางไกลครั้งสุดท้ายของ นพ.กฤตไท ผู้เคยต่อสู้โรคร้ายมากกว่าปี

หมอกฤตไท แห่ง #สู้ดิวะ

คนส่วนใหญ่รู้จัก นพ.กฤตไท ครั้งแรกผ่านเพจ “สู้ดิวะ” ที่สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 โดยหมอไทมีเป้าหมายสร้างเพจเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์เป็นผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้าย

ADVERTISMENT

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น หมอไทเผยว่า เป็นคนชอบออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ และได้วางแผนซื้อบ้านและแต่งงานกับคนรัก ทั้งนี้ เดือนตุลาคม 2565 นพ.กฤตไทสังเกตถึงความผิดปกติของอาการไอของตัวเอง จึงเข้ารับการตรวจ และพบว่ากำลังป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ซึ่งไม่สามารถผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาดได้ ปัจจัยเดียวที่เป็นไปได้คือ ภาวะฝุ่น PM2.5 ที่รุนแรงใน จ.เชียงใหม่

นอกจากเพจ “สู้ดิวะ” แล้ว หมอไทยังทำตามความตั้งใจสำเร็จ คือ การถ่ายทอดเรื่องราวมากมายผ่านหนังสือ “สู้ดิวะ” จัดพิมพ์ปี 2566 ซึ่งมียอดขายถล่มทลาย

การศึกษา

กฤตไท ธนสมบัติกุล จบมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (OSK 131) และสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากเรียนจบ “กฤตไท” ศึกษาต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นเวลา 3 ปี

ขณะเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง หมอกฤตไทตัดสินใจเรียนอีกด้านหนึ่งไปด้วยกันคือ ระบาดวิทยาคลินิก (Clinical Epidemiology and Clinical Statistic) เกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วย ด้วยการสร้างผลงานวิจัย ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และสถิติ

นอกจากนี้ นพ.กฤตไท ยังเรียนวิศวกรรมศาสตร์ต่อในระดับปริญญาโท ด้านวิทยาการข้อมูล ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อต่อยอดแนวคิดทางธุรกิจ การแก้ปัญหา และการจัดการข้อมูลที่สำคัญในโลกอนาคต

หลังจากเรียนจบเฉพาะทาง นพ.หมอกฤตไท ได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์ประจำศูนย์ระบาดวิทยาคลินิกและสถิติศาสตร์คลินิก ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมีความรู้ความสามารถจนได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม CE (Clinical Epidemiology) ร่วมกับอาจารย์อีกหลายท่าน

อาการป่วยเดี๋ยวดี เดี๋ยวทรุด

ช่วงปีใหม่ 2566 หมอไทเผยว่า ตนตอบสนองต่อการรักษาดีมากๆ ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด ร่างกายแข็งแรงกว่า 3 เดือนก่อน ระหว่างที่รักษาอาการป่วย คุณหมอทุ่มเทกับการศึกษาศาสตร์ของจิตใจ ทั้งทางศาสนาและทางจิตวิทยา เพื่อจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเอง

นอกจากอาการป่วยจะดีขึ้นมาก หมอไทยังสามารถกลับไปออกกำลังกายได้แทบจะปกติ เล่นบาสได้ ปั่นจักรยานได้ ฟิตร่างกายให้กลับไปเหมือนตอนก่อนป่วย และได้กลับไปสอนนักศึกษา จึงเริ่มวางแผนที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป

กระทั่งเดือนตุลาคม 2566 เพจสู้ดิวะระบุว่า ตอนนี้หมอไทอาการไม่ค่อยดีนัก มะเร็งมีการลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเก่า

วิวาห์หวาน

ท่ามกลางเรื่องราวมากมาย อีกหนึ่งสิ่งที่หมอไททำได้สำเร็จคือการเข้าพิธีวิวาห์กับ “พีม” แฟนสาว

โดยช่วงหนึ่ง “พีม” เปิดใจว่า พีมโชคดีมากๆ จริงๆ พี่ไทจะพูดตลอดเลยว่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า เธอโชคร้ายหรือเปล่า พีมก็จะตอบพี่ไทเหมือนเดิมทุกครั้ง พีมโชคร้ายที่พีมไม่รู้ว่าพีมจะอยู่กับพี่ไทไปจนถึงเมื่อไหร่ พีมโชคร้ายแค่นั้นเลย ที่เหลือตั้งแต่พีมคบพี่ไท

“พีมรู้สึกตลอดเวลาว่าพีมโชคดีที่เจอคู่ชีวิตได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องมันจะไปทางไหน ไม่ว่าเรื่องมันจะจบยังไง ตอนนี้โชคดีที่สุดแล้วค่ะ”

แต่แล้ว 5 ธันวาคม 2566 ก็ได้พรากชีวิต “หมอไท” ไปจากบุคคลอันเป็นที่รัก

ขอบคุณ เพจสู้ดิวะ, ข่าวสด

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง