นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูก ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีการแตกตัวเร็วกว่าปกติทำให้มีอาการซีด สุขภาพอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย ต้องให้เลือด หรือกินยาตลอดชีวิต มีปัญหาในการทำงาน การเรียน หากเป็นรุนแรงจะเสียชีวิต หญิงตั้งครรภ์และสามีที่เป็นพาหะโรคธาลัสซีเมียร้อยละ 25 ลูกในครรภ์จะมีโอกาสเป็นโรคธาลัสซีเมียและหากลูกในครรภ์มีภาวะทารกบวมน้ำ (hydropsfatalis) หญิงตั้งครรภ์ถึงร้อยละ 80 จะมีโอกาสอาการครรภ์เป็นพิษ มีอาการบวมและความดันโลหิตสูงและอาจเสียชีวิตได้
นพ.วชิระกล่าวต่อว่า โรคธาลัสซีเมียสามารถป้องกันด้วยวิธี 3 เลือก เริ่มจากการเลือกคู่หญิง-ชายวัยเจริญพันธุ์ควรเข้ารับการตรวจเลือดหากพบว่าเป็นพาหะโรคธาลัสซีเมียให้หลีกเลี่ยงการแต่งงานกับผู้ที่เป็นพาหะชนิดเดียวกัน เลือกครรภ์ หากคู่สมรสที่เป็นพาหะโรคธาลัสซีเมียประสงค์จะแต่งงานกัน ควรหลีกเลี่ยงการมีลูกด้วยการวางแผนครอบครัว แต่หากต้องการมีลูกต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรับการปรึกษาจากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และเลือกคลอด หากคู่สมรสทราบว่าลูกในท้องเป็นโรคธาลัสซีเมีย ต้องเข้ารับการปรึกษาเสนอทางเลือกในการมีลูกที่ปลอดโรค ปลอดภัย การเข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐช่วงตั้งครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์และสามีจะได้รับบริการฟรีตามชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งนี้ หญิงตั้งครรภ์ต้องรีบไปฝากครรภ์ทันที และขอรับการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ และเข้ารับคำปรึกษาเพื่อป้องกันการมีบุตรที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย
อธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีอยู่ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เป็นพาหะ จะมีสุขภาพแข็งแรง ปกติและสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่จะมีความผิดปกติคือ มีพันธุ์ธาลัสซีเมียแฝงอยู่ และอาจถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้ ซึ่งการที่จะทราบว่าตนเองเป็นพาหะของโรคหรือไม่ ต้องตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเท่านั้น และกลุ่มที่เป็นโรคจะแสดงอาการให้เห็นชัดเจน เช่น ซีด ตาเหลือง อ่อนเพลีย ท้องป่อง ตับและม้ามโต ซึ่งจะต้องได้รับเลือดเป็นประจำทุกเดือน
ทั้งนี้ สำหรับความรุนแรงของโรคธาลัสซีเมียมี 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอาการรุนแรงน้อย กลุ่มนี้จะมีอาการปกติ แต่จะซีดเหลืองเล็กน้อย เจ็บป่วยบ่อย และมีอาการดีซ่าน ซึ่งต้องให้เลือดทุกครั้งที่เจ็บป่วย 2.กลุ่มอาการรุนแรงมาก แรกเกิดอาจจะยังไม่มีอาการ แต่จะแสดงเมื่ออายุ 3-6 เดือน โดยเด็กทารกจะตาเหลือง อ่อนเพลีย ตัวเตี้ย แคระแกร็น ตัวเล็กและม้ามโต มีการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า หน้าผากตั้งชัน โหนกแก้มสูง ดั้งจมูกแบน ฟันยื่น ยิ่งอายุมากยิ่งจะเห็นได้ชัด ต้องให้เลือดบ่อยๆ ถ้าไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่องก็จะเสียชีวิตได้ และ 3.กลุ่มอาการรุนแรงสุด ทารกจะมีอาการบวมน้ำ คลอดลำบาก ซีด ตับและม้ามโต ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในครรภ์มารดา หรือหลังคลอด และแม่มีโอกาสครรภ์เป็นพิษ บวม ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ และอาจเสียชีวิตได้