“เจ้าของอู่ N.P.การาจ” ยันถูกปลอมลายเซ็นจดทะเบียนรถหรูสมเด็จช่วง ย้ำไม่เคยเห็นรถเลย

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นางกาญจนา มากเหมือน อายุ 69 ปี เจ้าของอู่ N.P.การาจ ถูกปลอมลายมือชื่อในการโอนรถโบราณ ยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ของสมเด็จพระรัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เข้าพบ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีสารสนเทศ ดีเอสไอ

อู่2

โดยนางกาญจนากล่าวว่า เรื่องการถูกปลอมแปลงเอกสารต่างๆ นั้นเกิดขึ้นเนื่องจากอู่ของตนเป็นเพียงอู่รับเคาะพ่นสี ไม่ใช่โรงงานประกอบรถ ส่วนเอกสารที่ถูกปลอมไปขอจดทะเบียนนั้น มีคนมาแนะนำให้ตนไปขอจดทะเบียนจากสรรพสามิตในการจดประกอบรถ โดยนำบัตรประชาชน หนังสือมอบอำนาจมาให้ตนเซ็น นำเอกสารทั้งหมดไปขอใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตเพื่อจดประกอบรถ จากนั้นทางกรมสรรพสามิตมีใบอนุญาตจดประกอบรถมาให้ตน แต่ตนไม่เคยทำ และไม่เคยเห็นรถคันดังกล่าวเลยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน

อู่3

ผู้สื่อข่าวถามว่า นางกาญจนารู้จักกับเจ้าของอู่วิชาญหรือไม่ นางกาญจนากล่าวว่า ไม่รู้จักและไม่เคยติดต่อเลย เมื่อถามว่า ลายเซ็นที่ปลอมเหมือนของนางกาญจนาหรือไม่ นางกาญจนากล่าวว่า ไม่เหมือน เห็นแล้วว่าไม่เหมือนกันเลย และไม่ใช่ลายเซ็นของตนเลย เมื่อถามย้ำว่า ปกติเวลาเซ็นชื่อจะเขียนเป็นตัวอักษรหรือเขียนเป็นลายเซ็น นางกาญจนากล่าวว่า เขียนเป็นชื่อคือ “กาญจนา มากเหมือน” จะไม่ตกตัวอักษรใดอักษรหนึ่ง ทั้งนี้ อู่ของตนไม่เคยรับจดประกอบรถยนต์เลย มีเพียงใบอนุญาตจดประกอบรถเท่านั้น เพราะอู่ไม่มีช่าง มีเพียงช่างเคาะพ่นสีรถยนต์เท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานรถจดประกอบ เนื่องจากมีคนชวนให้ไปยื่นไว้เฉยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำ

ADVERTISMENT

ผู้สื่อข่าวถามว่า ใครเป็นคนชวนให้ไปยื่นขอใบอนุญาต นางกาญจนากล่าวว่า นายชลัช (สงวนนามสกุล) เป็นคนแนะนำให้ไปยื่นขอใบอนุญาตดังกล่าว แต่ไม่มีการว่าจ้างอะไร เพียงแต่มาบอกว่าเรามีสิทธิในการยื่นขอใบอนุญาตกับกรมสรรพสามิต สามารถไปจดประกอบรถยนต์ได้ แต่เราไม่มีความรู้ทางนี้ เพราะทำเฉพาะเคาะพ่นสีเท่านั้น ไม่มีอาชีพในการจดประกอบ เพียงแต่นายชลัชแนะนำว่า หากได้ใบอนุญาตจดประกอบ รถเราจะถูกกฎหมายเวลาที่อู่ของเราจะประกอบรถ ทั้งนี้ จำไม่ได้ว่าไปยื่นขอใบอนุญาตตั้งแต่เมื่อไร

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า รู้จักกับนายชลัชในฐานะอะไร นางกาญจนากล่าวว่า ส่วนตัวแล้วไม่รู้จัก แต่นายชลัชรู้จักกับสามีตนเพียงผิวเผินเท่านั้น เนื่องจากเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ส่วนทำไมถึงหลงเชื่อนายชลัชนั้น เนื่องจากนายชลัชเป็นคนเข้าหาตนและให้ตนเซ็นเอกสาร ก่อนจะพาไปที่สรรพสามิตด้วย แต่ไม่ได้อยากได้ตรงนี้เท่าไหร่ เพราะเราไม่มีความรู้ ส่วนเอกสารทั้งหมดนั้นนายชลัชเป็นคนนำมาให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่านายชลัชมีอาชีพอะไร แต่สามีบอกว่าเหมือนเป็นคนที่ทำเอกสารเกี่ยวกับทะเบียน แต่คงมีหลายอาชีพ ทั้งนี้ หลังจากดำเนินการเกี่ยวกับการขอยื่นใบขออนุญาตจดประกอบรถแล้ว นายชลัชหายไปและไม่ติดต่อมาอีกเลย

ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าวว่า สำหรับเอกสารที่มีการปลอมแปลงและนำไปเสียภาษีที่กรมสรรพสามิตนั้น หลังจากมีการจดประกอบแล้วต้องนำเอาเอกสารไปแสดงกับสรรพสามิตเพื่อชำระภาษี นางกาญจนาให้การกับตนว่าไม่รู้เรื่อง อีกประเด็นคือ มีเอกสารอีกชุดหนึ่งไปยื่นจดทะเบียนรถคันนี้ ปรากฏชื่อนางกาญจนาเป็นผู้ลงลายมือชื่อไปด้วย นางกาญจนาได้ให้การว่าเอกสารที่ไปขอจดทะเบียนรถเป็นการโดนปลอมลายมือชื่อเช่นกัน ทั้งนี้ การที่นางกาญจนาเดินทางมาพบ พ.ต.อ.ไพสิฐ เพื่อต้องการร้องทุกข์ในฐานะผู้เสียหายให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่กระทำผิดในเรื่องนี้

ส่วน พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า คนที่นำเอกสารของนางกาญจนาไป เจตนาจะใช้เอกสารในการปลอมแปลงชื่อ เพื่อเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนของกรมสรรพสามิตกับกรมขนส่งทางบก ซึ่งนางกาญจนาอาจเคยขอยื่นเป็นบริษัทจดประกอบรถไว้ ทั้งนี้ ในชั้นสอบสวน เราจะดูว่าใครเป็นผู้นำเอกสารของนางกาญจนาไปยื่นที่กรมสรรพสามิตและกรมการขนส่งทางบก คนยื่นเอกสารทั้งหมดมีตัวตนจริงอยู่แล้ว แต่นางกาญจนาไม่ได้เป็นผู้ยื่น เป็นคนอื่นนำไปยื่นเท่านั้น จากนี้พนักงานสอบสวนจะเรียกผู้นำเอกสารเหล่านี้ไปยื่นมาสอบสวน จะมีความผิดหลายข้อหา อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เกี่ยวข้องกับการเอกสารปลอมนั้น ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนทราบหมดแล้วว่าเป็นใคร และมีที่อยู่แล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่ได้ติดต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีปรากฏลายเซ็นของสมเด็จช่วงในใบจดทะเบียน จะสามารถพิสูจน์เจตนาในการครอบครองรถหรือไม่ พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า ในส่วนของลายเซ็นทางพนักงานสอบสวนจะต้องเดินทางไปสอบถามกับสมเด็จช่วงว่ามีการลงนามลายมือชื่อตามเอกสารหลักฐานที่ดีเอสไอตรวจสอบพบหรือไม่ และลายเซ็นนี้เป็นลายเซ็นของสมเด็จช่วงจริงหรือไม่ ทั้งนี้ เราจะส่งหนังสือประสานไปยังสมเด็จช่วงในการขอเข้าสอบปากคำที่วัดปากน้ำ ส่วนเรื่องวันและเวลานั้น อยู่ที่ความเหมาะว่าสมเด็จช่วงจะสะดวกวันไหน ส่วนจะต้องให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาตรวจสอบว่าเป็นลายมือจริงหรือไม่นั้น ในชั้นนี้ต้องรอให้เราได้สอบถามสมเด็จช่วงก่อน

พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าสมเด็จช่วงจะไม่รับรถยนต์ของกลางไว้ว่า เรื่องดังกล่าวต้องสอบถามสมเด็จช่วงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หากไม่ประสงค์จะรับรถไว้แล้ว ทางดีเอสไอจะส่งพนักงานสอบสวนไปรับรถของกลางมาเก็บไว้ ทั้งนี้ เมื่อคืนรถแล้ว คดีส่วนอื่นยังดำเนินไป ส่วนรถประสงค์จะไม่เก็บไว้ และประสงค์จะให้พนักงานสอบสวนไปรับ ทางเราก็พร้อม ต้องแล้วแต่ความประสงค์ของสมเด็จช่วง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีการคืนรถของกลางคดีดังกล่าวจะยุติหรือไม่ พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีความทั้งคดีอาญา เรื่องการปลอมแปลงเอกสาร หลักฐาน ไม่สามารถยอมความหรือยุติคดีได้ ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรนั้น สามารถระงับคดีได้ตามกฎหมายศุลกากร โดยการคืนรถของกลาง เสียค่าปรับ ดังนั้น ต้องแยกออกจากกัน และที่ผ่านมาดีเอสไอส่งให้กรมศุลกากร ประเมิน ภาษีขาด และค่าปรับ ในส่วนของรถยนต์ที่ดีเอสไอพบว่าหลบเลี่ยงภาษี ทางกรมศุลกากรส่งเรื่องกลับมาดีเอสไอแล้ว 8 คัน หลังจากนี้จะทยอยส่งกลับมาเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร สามารถระงับคดีได้ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าวว่า ได้ คดีในส่วนของ พ.ร.บ.ศุลกากร ถ้าชำระภาษีเพิ่มอีก 2 เท่าและมอบของกลางให้กับรัฐ ทั้งนี้ ต้องเป็นผู้กระทำความผิดตามมาตรา 27 ทวิ ของ พ.ร.บ.ศุลกากรเท่านั้น หรือเรียกง่ายๆ ว่าผู้ครอบครอง ความผิดดังกล่าวโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่คณะกรรมการของกรมศุลกากรเคยมีมาตรฐานชี้ว่า หากมีการส่งมอบของกลางคืน และทั้งเสียค่าปรับ 2 เท่าจะสามารถระงับคดีได้ เพราะชี้ให้เห็นว่าไม่มีเจตนา ในส่วนของผู้ปลอมแปลงเอกสารจะเป็นความผิดอาญาและเข้าข่ายตามมาตรา 27 ของ พ.ร.บ.ศุลกากรไม่สามารถยอมความได้ เพราะเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ไม่ยุติ การกระทำความผิดเกี่ยวกับ ป.อาญา แจ้งเอกสารเท็จหรือปลอมและใช้เอกสารปลอม ไม่ยุติ

ผู้สื่อข่าวถามว่า รถที่ดีเอสไอเคยตรวจสอบว่าอาจเข้าข่ายหลบเลี่ยงภาษีกว่า 6,000 คัน จะดำเนินการอย่างไร พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าวว่า ดีเอสไอต้องดำเนินการต่อไป ส่วนที่หยิบรถเบนซ์ขึ้นมาตรวจสอบก่อนนั้นพบว่าปี 2558 มีผู้มาร้องให้ตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าว และเมื่อสืบสวนพบว่าเป็นรถยนต์ที่เข้าข่ายหลบเลี่ยงภาษีจึงเข้าดำเนินการ ส่วนที่เหลือก็ดำเนินการต่อไป

“รถที่เรามาตรวจล็อตแรกเป็นรถที่มีราคาเกิน 4 ล้านบาท เรียกรถราคาแพงมาตรวจก่อน เพราะสภาวิศวกรรมของประเทศไทยบอกว่ารถราคาแพงไม่สามารถประกอบในเมืองไทยได้ ไม่มีเครื่องมือประกอบ จึงอยากให้เข้าใจว่าทำไมเราจึงเรียกรถราคาแพงเข้ามาตรวจสอบก่อน เพราะไม่มีเทคโนโลยีที่จะเอาไปใส่เครื่องยนต์อะไรได้ จึงดำเนินการในส่วนนี้ก่อน หลังจากนี้จะเรียกรถที่มีราคาถูกกว่านี้เข้ามาตรวจสอบ” พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว