สปท.แก้บทเฉพาะกาล พ.ร.บ.อุทยานฯ ห้ามเอกชนใช้ประโยชน์ “ดำรงค์” ลั่นไม่กลืนน้ำลายทำเรื่องป่าไม้มากับมือ

สปท.แก้บทเฉพาะกาล พ.ร.บ.อุทยานฯ ห้ามเอกชนใช้ประโยชน์ “ดำรงค์”ลั่นไม่กลืนน้ำลายทำเรื่องป่าไม้มากับมือ มูลนิธิสืบฯ แทงกั๊กกรมอุทยานฯไม่ต้องรื้อรีสอร์ต

กรณีสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)เห็นชอบรายงานเรื่องการจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้และเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ:มาตรการแก้ไขปัญหาที่ดินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ….และร่าง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ…. ซึ่งมีเนื้อหาส่อเอื้อต่อนายทุน ผู้ประกอบการรีสอร์ต บ้านพักตากอากาศ ที่บุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เนื่องจากให้อำนาจอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นำสิ่งปลูกสร้างที่ยึดมาแล้วไปใช้ประโยชน์ในภารกิจของกรมได้ โดยจะรื้อถอนทุบทิ้งหรือไม่ก็ได้ รวมทั้งให้คนสามารถอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ได้ถึง 20 ปี ขึ้นกับการพิจารณาของอธิบดีกรมอุทยานฯนั้น

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นายดำรงค์ พิเดช สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในฐานะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติ ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สปท. กล่าวว่า อนุกรรมาธิการฯ มีการประชุมและได้ทบทวนร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ…. ซึ่งที่ประชุมได้มีมติให้มีการแก้ไขในเรื่องการใช้ประโยชน์ของพื้นที่อุทยานฯ โดยให้เนื้อหาของกฎหมายมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยการระบุในบทเฉพาะกาลของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ว่าทรัพย์สินจำพวกสิ่งปลูกสร้างที่ยึดคืนมาได้ให้กรมอุทยานฯ ใช้ประโยชน์เพื่อการพิทักษ์ป่าเท่านั้น และห้ามส่วนราชการหรือเอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์เพื่อการอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากนี้ได้เพิ่มข้อความในมาตรา 19 ซึ่งเดิมอาจจะมีการเอาพื้นที่ไปใช้ประโยชน์สำหรับการท่องเที่ยว เพื่อตัดปัญหานี้จึงให้ตัดเรื่องการใช้ประโยชน์สำหรับการท่องเที่ยวทิ้งทั้งหมด โดยให้ใช้ในภารกิจอุทยานฯ พิทักษ์ป่า และงานวิจัยเท่านั้น

“ผมดีใจที่สื่อมวลชนมีความตระหนักและเป็นห่วงในเรื่องนี้ และช่วยกันติติง ซึ่งจะได้หาทางป้องกันแก้ไขในสิ่งที่เป็นกังวล เป็นมิติใหม่ของการดูแลทรัพยากรป่าไม้ ว่าทุกฝ่ายจะต้องมีส่วนร่วม ยืนยันว่าผมทำเรื่องนี้มานาน จะไม่ยอมกลืนน้ำลายตัวเองอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นคนทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นใครๆ ก็รู้” นายดำรงกล่าว

Advertisement

ด้านนายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ในฐานะคณะทำงานแก้ไขกฎหมายอุทยานฯ ฉบับใหม่ กล่าวว่า ตนไม่ได้ร้อนรุ่มกับประเด็นที่เกิดขึ้น แต่มองทุกอย่างด้วยความเป็นธรรม เพราะอยู่ในทุกขั้นตอนของการทำงานเรื่องนี้ เชื่อว่าไม่มีใครอยากทำร้ายใคร ทุกคนล้วนตั้งใจทำงาน ก่อนจะพูดอย่างอื่นตนขอยกตัวอย่างสิ่งที่กรมอุทยานฯ จะต้องตัดสินใจในเร็ววันนี้คือ ขณะนี้กรมอุทยานฯ กำลังจะชนะคดีที่โรงแรม 5 ดาวขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง บุกรุกพื้นที่อุทยานฯ หาดเจ้าไหม จ.ตรัง ด้วยหลักฐานต่างๆ และขั้นตอนทางกฎหมาย เชื่อว่ากรมอุทยานฯ ชนะคดี 100%หมายความว่ากรมอุทยานฯ กำลังจะได้อาคารดังกล่าวมาเป็นสมบัติ ประเด็นก็คือกรมอุทยานฯ จะบริหารจัดการอย่างไรกับอาคารโรงแรมดังกล่าว หากต้องทุบทิ้งต้องใช้เงินมากกว่า 100 ล้านบาท หรือจะเอาไปบริหารจัดการเอง โดยสร้างเป็นศูนย์ฝึกอบรมก็ต้องพัฒนาปรับปรุงอีกมากมาย เรียกว่าทำดีก็ไม่ใช่หน้าที่ ทำไม่ดีก็ถูกด่า ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ซึ่งคณะทำงานได้เอาประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยกัน แล้วให้ไปทำรายงานข้อดีข้อเสียของการเก็บอาคารหรือการรื้อถอนทุบทิ้งมาหารือกัน ผลสรุปว่ามีหากนำมาเป็นของกรมอุทยานฯ ก็จะเป็นภาระมากกว่าที่จะได้ประโยชน์ แต่ในที่สุดคณะกรรมการฯ ก็ลงมติว่าถึงอย่างไรก็ให้ยึดเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที เป็นที่มาของการให้อำนาจอธิบดี และคณะกรรมการเป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตามการที่นายขวัญชัย ดวงสถาพร สปท.ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ได้ระบุว่าจะมีมีการแก้ไขบทเฉพาะกาลโดยปิดช่องทางไม่ให้ภาคเอกชนและภาคราชการอื่นๆ เข้ามาใช้ประโยชน์ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้หลายฝ่ายสบายใจมากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image