เปิดสูตร(ไม่)ลับ ปลดล็อค ปฏิรูปตำรวจ มุมมอง “สีกากีนักวิชาการรุ่นใหม่” เทียบโปลิศนานาชาติ

ผศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล

กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ประเด็น “ปฏิรูปตำรวจ” ถูกตีปี๊บครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งรัฐบาลชุดนี้ ชูธง “ปฏิรูปประเทศ” หนึ่งในนั้นคือ “ปฏิรูปตำรวจ” ปรับโฉมองค์กรสีกากีสู่ความคาดหวังของประชาชน ให้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการยุติธรรมอย่างสมศักดิ์ศรี

แม้วันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเดินหน้าปฏิรูปตัวเองตามโร้ดแมป ระยะสั้น – ยาว ทว่าในการรับรู้ของสังคม ประชาชน อาจยังไม่ปรากฏผลเป็นรูปธรรมนัก

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาณเคาะระฆัง เดินหน้า “ปฏิรูปตำรวจ” ดังอีกยก

ยกนี้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ลงกำกับด้วยตัวเอง ทั้งในบทบาท “ผู้นำรัฐบาล” และ “หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)” หยิบยกประเด็นการปฏิรูปตำรวจโดยเฉพาะเรื่องการบริหารงานบุคคล การแต่งตั้งโยกย้าย ถูกหยิบยกเป็นวาระ คสช.

Advertisement

ตลอด2-3 ปี ในห้วงการปฏิรูปองค์กรตำรวจ ผู้ปรารถนาดี ผู้สันทัดกรณีในแวดวงสีกากี แวดวงกระบวนการยุติธรรม เสนอหลากหลายทรรศนะ ต่างมุมมอง ต่างมิติ ต่อการ “ปฏิรูป – ยกเครื่อง” องค์กรตำรวจ

“มติชน” สัมภาษณ์พิเศษ “ผศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” นายตำรวจหนุ่ม ที่ผันตัวเองจากภาคสนาม สู่ภาควิชาการ ปัจจุบันเป็น อาจารย์คณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ที่ปรึกษาสำนักงานควบคุมยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ(UNOCD) ผู้ประสานงานหลักเครือข่ายบังคับใช้กฎหมายนานาชาติ อดีตอนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการตำรวจ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) และเป็นหนึ่งในคณะทำงานปฏิรูปตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงแนวคิดการปรับโฉมตำรวจ จากมุมมองของตำรวจผู้ศึกษาระบบงานตำรวจจากนานาอารยะประเทศ

พ.ต.ท.กฤษณพงค์ เปิดฉากว่า ตำรวจในอุดมคติที่ปลูกฝังจากในโรงเรียน คือ หนึ่ง ถ้าเจอคนทำผิด มีสิทธิจับ จับได้ 100เปอร์เซ็นต์ สอง การทำงานต้องมีความพร้อม อาวุธปืน กระสุน วิทยุสื่อสาร รถดีๆ เทคโนโลยี ฐานข้อมูลพร้อม แค่กดปุ่ม แค่สแกน ข้อมูลออกมาหมด สามตำรวจเป็นที่ยอมรับศรัทธาของประชาชน ไปที่ไหนคนดีใจตำรวจมา สี่ความก้าวหน้าชัดเจน ระบบคุณธรรมชัดเจน 100เปอร์เซ็นต์ นั่นคือสิ่งที่คิด แต่โลกความจริงชีวิตตำรวจออกไปทำงานเจอทั้งดำ ขาว โลกความจริง กับโลกในโรงเรียนต่างกันจนบางคนช็อค ทุกวันนี้ โรงเรียนนายร้อยตำรวจมองเห็นปัญหาตรงนี้ มีการปรับวิธีการสอนใหม่เพื่อให้ตำรวจที่จบออกไปพร้อมรับกับโลกความจริง และเรียนรู้การแก้ปัญหาให้ถูก

Advertisement

ก่อนชี้ปัญหาองค์กรตำรวจ ว่า ปัญหาเริ่มจากด้านโครงสร้าง แม้มีการปรับแก้กฎหมายโดย คสช. แต่ตำรวจยังอยู่ภายใต้การเมือง100เปอร์เซ็นต์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) ซึ่งประกอบไปด้วยฝ่ายการเมือง ที่มีอำนาจแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

“เปลาะแรก ก็อยู่กับการเมือง ดูที่มาตรฐานสากล อังกฤษ อเมริกา เยอรมัน ออสเตรเลีย ไม่เป็นรูปแบบนี้ ตำรวจเยอรมันได้รับการจัดอันดับเป็นที่ยอมรับของประชาชนลำดับ2 ของประเทศ ในอังกฤษผลโพลล์ล่าสุด พบว่ามากกว่า70เปอร์เซ็นต์ประชาชนนิยมชมชอบตำรวจ เพราะมีการกระจายอำนาจปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ของเราผู้บริหารประเทศอาจมองว่าความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องสำคัญ อำนาจตรงนี้จึงยังผูกกับรัฐบาล กระจายออกไปไม่ได้ ตรงนี้ชี้ไว้ ต้องศึกษากันต่อไป”

“อีกปัญหา เรื่องการบริหารงานบุคคล เส้นทางการก้าวหน้า ผมว่าองค์กรตำรวจมีคนเก่งเยอะ การแข่งขันสูง แต่คนเก่งที่อยู่ไกลผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจแต่งตั้ง แต่อยู่ใกล้ประชาชน อาจก้าวหน้าสู้คนที่เก่ง แต่อยู่ใกล้ผู้ที่มีอำนาจไม่ได้ ตำรวจส่วนหนึ่งอาจรู้สึกว่ามือข้างหนึ่งต้องทำงานกับประชาชน อีกมือต้องทำงานสนองผู้บังคับบัญชา แต่ใช่ว่าตำรวจส่วนใหญ่จะมีความสามารถ มีโอกาสเข้าถึง กลายเป็นปัญหาบริหารงานบุคคล ดูมาตรฐานสากลเขาทำอย่างไร เขามีระบบกระจายอำนาจ ตำรวจกลับไปทำงานใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น ผู้บังคับบัญชาระดับ ภาค จังหวัด ใกล้ชิดเห็นผู้ใต้บังคับบัญชามากขึ้น ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน หลายที่มีคณะกรรมการภาคประชาชนระดับภาค จังหวัด ที่มีสิทธิโหวต สะท้อนความคิดเห็นว่าตำรวจคนนั้นทำงานอย่างไร ควรได้รับตำแหน่งโปรโมทขึ้นหรือไม่”

อาจารย์กฤษณพงค์ เล่าว่า ประเทศอังกฤษ มีคำว่า “กิจการงานตำรวจคือความเห็นชอบของประชาชน” หมายความว่า นโยบายใดๆหากตำรวจทำ แต่ชาวบ้านบอกว่าเขาได้รับความเดือดร้อน ตำรวจต้องทบทวน เช่น ตำรวจจะตั้งด่านกลางเมืองสกัดรถที่อาจมีระเบิดแอบแฝง แต่สุจริตชนร้องเรียนว่าทำไมต้องตั้งด่าน ขนาดนี้ เขาเดือดร้อน รถติดหลายกิโลเมตร จากจุดนี้ตำรวจอังกฤษเปลี่ยนวิธีการทำงาน เอาเทคโนโลยี การข่าวมาใช้ นี่คือ ตำรวจคิด ตำรวจทำ แต่ตำรวจต้องฟังประชาชนด้วย มองกลับมาที่บ้านเราถามว่าเราทำแบบไหน ถามว่าประเทศเราได้รับการสนับสนุนตรงนี้หรือไม่ ที่สำคัญตำรวจต้องได้รับการฝึกอบรม ยุทธวิธี ต้องเข้าใจปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการทำงาน ฟังนโยบายจากข้างบน และฟังเสียงประชาชนด้วย นี่ตอบคำถามว่าทำอย่างไรให้ประชาชนรัก ศรัทธา คือฟังว่าเขาชอบ เขาเดือดร้อนไหมกับวิธีปฏิบัติงาน ยุทธวิธีของตำรวจ

“ตำรวจรุ่นใหม่ต้องทำให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เหมือนทหาร มีทหารม้า ทราบราบ ตำรวจก็ควรต้องแยก สืบสวน สอบสวน จราจร หมายความว่าต้องโตได้ในสายที่เชี่ยวชาญ เป็นโปรเฟซชั่นนัล ตามระบบที่ใช้ในตำรวจทั่วโลก แต่ไม่ได้หมายความว่าย้ายสายงานไม่ได้ ย้ายได้แต่ไม่ใช่จากซ้ายไปขวาสุด วิธีการคือสมัครใจย้ายสายงานต้องผ่านการประเมินความเหมาะสม ต้องทำข้อสอบ เก็บผลประเมิน ขณะเดียวกันประชาชนสามารถประเมินได้ด้วย เช่น เป็นสายสืบสวนปราบปราม ประชาชนจะบอกว่าตำรวจคนนี้ติดตามจับกุมคดีได้ไหม ทั่วถึงเท่าเทียมหรือไม่ ไม่ใช่จับเฉพาะคดีความเสียหายของคนดัง ทุกคดีต้องได้รับความสนใจอย่างเท่าเทียมกัน แล้วความเชื่อมั่นจะกลับมาสู่ตำรวจ”

“ทุกวันนี้ระดับสถานีตำรวจขาดแคลนงบประมาณ ผมศึกษาและทำวิจัยเรื่องนี้ ถามว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเรา หน่วยงานรัฐระดับท้องถิ่นเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาสามารถจ่ายโบนัส แต่ตำรวจกลับไม่มีเงินทำงาน ไม่มีเงินเติมน้ำมันรถสายตรวจ ผมมองว่าเงินที่จ่ายเป็นงบประมาณรัฐบาลคือเงินของประชาชน ดังนั้นถามว่า ระบบการจัดสรร ถูกต้องหรือไม่ หลักคิดของอังกฤษ ตำรวจคือประชาชน ประชาชนคือตำรวจ ประโยคนี้เกิดขึ้นเมื่อ 200 ปีก่อน ทุกวันนี้ทั่วโลกใช้ หมายความว่า ตำรวจกับประชาชนแยกกันไม่ออก ต้องช่วยกัน มองที่บ้านเรา รัฐมีงบประมาณเหลือพอที่จะจ่ายโบนัส แต่อีกหน่วยที่มีหน้าที่ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ไม่มีงบประมาณทำงาน จึงต้องมาดูการจัดสรรงบประมาณใหม่ ท้องถิ่นอาจต้องจัดสรรงบฯตรงนี้มาใช้ในงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อย่างถูกระเบียบกฎหมาย เพราะนี่คืองบฯใช้ดูแลคนในท้องถิ่น คนที่ดูแลงบฯประเทศ ต้องเข้าใจมุมมองนี้ อย่ามองในแง่ทุจริตอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นทุกปัญหา แก้ไม่ได้” พ.ต.ท.กฤษณพงค์ ชี้จุดและตั้งคำถาม

เมื่อถามว่าทำอย่างไรให้การปฏิรูปตำรวจสำเร็จ พ.ต.ท.กฤษณพงค์ บอกว่า ต้องอาศัยหลัก 3 p คือ 1. Political will เจตจำนงค์ทางการเมืองต้องแน่วแน่ อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงองค์กรตำรวจเพื่อประชาชนจริงๆ 2. Public อยากเห็นตำรวจเปลี่ยนแปลง 3. Police ตำรวจต้องอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง

“ต้องไปเรียงลำดับว่าทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรมที่สุด และต้องทำในรัฐบาลชุดนี้ แม้มีการกำหนดในรัฐธรรมนูญว่าตำรวจต้องปฏิรูป กำหนดว่าต่อไปตำรวจต้องแต่งตั้งตามอาวุโส ผมมองว่ามันอาจยังเกาไม่ถูกที่คัน ผมมองว่าใช่ แต่ก็ต้องพิจารณาที่ผลงานและการทำงานประกอบด้วยเช่นกัน  ตำรวจแต่งตั้งด้วยระบบอาวุโส เหมือนศาล อัยการ ไม่ได้ เพราะงานตำรวจเป็นอะไรที่ท้าทาย ต้องยอมรับแม้แต่คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ บอกว่าระบบราชการบ้านเราไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเราจะเอาระบบแบบนี้มาใช้อีกหรือ ผมว่าคนจะกำหนดหลักคิด กำหนดนโยบายต้องเข้าใจงานและหน้าที่ของตำรวจนะ และมีพื้นฐานวิชาการ ข้อเท็จจริงรองรับ จะคิดว่า เชื่อว่า ไม่ได้หรอก เพราะบางเรื่องลองผิดลองถูกไม่ได้ เกี่ยวพันนโยบายประเทศหลายล้านบาท ผมว่าบ้านเมืองเรามาไกลเกินกว่าจะติดหล่มความขัดแย้ง เราต้องก้าวไปด้วยกัน”

“ทำอย่างไรให้ 3 p สำเร็จ 3 อันดับแรก 1. ตำรวจต้องมีอิสระในการทำงาน การปฏิวัติสมัยปี 49 มีการพูดว่าต้องปฏิรูปตำรวจเพราะตำรวจไม่มีความเป็นกลางทางการเมือง ถูกครอบงำ มาถึง ยุคการปฏิรูปโดยสปท. ก็ยังนำคำนี้มาใช้ เพราะฉะนั้นปลดล็อกตรงนี้ก่อน ถ้าตำรวจมีอิสระ ในการทำงาน คือต้องให้อิสระมากที่สุด ให้ใช้ดุลพินิจด้วยความเป็นธรรม เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ด้วย 2.ความพร้อมในการทำงาน ทั้งทางด้านอุปกรณ์ประจำตัว และอุปกรณ์ประจำหน่วย รวมทั้งเทคโนโลยีในการจับคนร้าย แล้วฝึกอบรมให้ตำรวจมีความรู้ มีความพร้อม ไม่ใช่ขาดแคลนทุกอย่าง งบประมาณทำงานไม่มีให้ พอขาดแคลนมันก็จะไปพันปัญหาหลายอย่าง มันกลายเป็นคำถาม ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน เพราะว่าปัญหาอุปสรรคไม่แก้ให้ แต่เราไปคาดหวังกับตำรวจ หลายครั้งตำรวจจะมีมาตรการอะไร หน่วยงานต่างๆก็ดักว่าทำแล้วละเมิดสิทธิ ซึ่งตำรวจสื่อสารไม่เก่งไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำเพื่อปกป้องสุจริตชน แต่ขณะเดียวกันประชาชนต้องตรวจสอบการทำงานของตำรวจได้ด้วยนะ ป้องกันตำรวจที่ลุแก่อำนาจ 3.ประชาชนกับตำรวจต้องทำงานไปด้วยกัน ประชาชนสังคมไทยต้องปรับเปลี่ยนความคิด ปรับเปลี่ยนมุมมอง และประชาชนต้องปฏิรูปตัวเองด้วย ต้องรู้กฎหมายด้วยว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดกฎหมายหรือเปล่า ต้องสนับสนุน อย่าตั้งแง่”

“เราต้องการความจริงใจ จากคนในบ้านในเมือง จากผู้มีอำนาจ ต้องทำให้ตำรวจสามารถคุมปัญหาอาชญากรรมได้ ประชาชนรู้สึกปลอดภัย นั่นถือว่าปฏิรูปตำรวจสำเร็จ” หนึ่งในทีมปฏิรูปตำรวจชี้

เมื่อถามถึง ตำรวจไทย ปี 60 ควรเตรียมตัวรับมือการผันแปรของกระแสโลกอย่างไร อาจารย์กฤษณพงค์ บอกว่า ตำรวจไทยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการคิด ปรับรูปแบบการทำงาน ศึกษาการเมือง สังคม สถานการณ์โลก เพราะทุกวันนี้โลกเปลี่ยนเร็วมาก หากตำรวจยังคิดเหมือน 10 ปีที่แล้ว คงไม่ได้

“ย้อนไปยุคที่เรายังไม่มีสมาร์ทโฟนใช้  แต่ยุคนี้ทุกคนใช้สมาร์ทโฟน เช่นเดียวกันคนร้ายก็เข้าไปอยู่ในสมาร์ทโฟนมากขึ้น ตำรวจรู้อย่างนี้ต้องปรับ เราต้องรับมือไซเบอร์ไครม์ แต่ถามว่าตำรวจไทยเทรนคนที่มีความรู้ด้านนี้เพียงพอรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านนี้หรือไม่ ซึ่งในต่างประเทศก็พบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน เขารู้ว่าเขาฝึกตำรวจมาสู้กับปัญหาเหล่านี้ไม่ทัน เขาเชิญโปรแกรมเมอร์ที่เก่งๆ ซึ่งคนพวกนี้มีงานประจำ แต่เชิญมาทำงานพาร์ทไทม์กับตำรวจ มีค่าตอบแทนให้ ออกใบลดหย่อนภาษี ได้สิทธิประโยชน์อื่นๆจากการทำงานตรงนี้ หรือจะเข้ามาเป็นอาสาสมัครช่วยงานตำรวจก็ได้ เชิญคนเหล่านี้มาไล่ตามแฮกเกอร์อย่างเดียวเลย ไล่ตามพวกที่แฮกระบบธุรกรรมของธนาคารต่างๆ แฮกเกอร์ย่อมรู้กลยุทธ์ของแฮกเกอร์ ขณะเดียวกันองค์กรตำรวจก็สร้างตำรวจรุ่นใหม่ๆขึ้นมารองรับตรงนี้ แต่อย่าลืมสร้างเส้นทางการเติบโตให้เขาด้วย มีตำแหน่งให้เติบโตในสายงานนี้ ตำรวจรุ่นใหม่ต้องทำให้เหมือนหมอ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน” พ.ต.ท.ดร. กฤษณพงค์ ยกตัวอย่างแนวทางในต่างประเทศ

พร้อมย้ำว่า ตำรวจยุคใหม่ต้องปรับวิธีคิด รับฟังประชาชน ปรับวิธีการทำงาน ปรับวิธีคิด ทำงานโปร่งใสมากขึ้น เอาเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น คำพูดคำจากับประชาชนต้องปรับใหม่ อย่าไปมองว่าคนนั้นคนนี้เป็นคนไม่ดี แต่สิ่งก็ต้องยอมรับว่ามีตำรวจจำนวนไม่น้อยทำงานในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้เครียด กดดัน ทำมานานเป็นสิบๆปีจนสนิมเกาะ ทำซ้ำๆหน้าที่แบบเดิมๆ จนลืมไปแล้วว่าสิ่งที่ต้องทำในยุคสมัยนี้ ทำให้ถูกต้องตามโลกที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างไร บางคนไม่สนใจโลก ต้องเอาตำรวจเหล่านี้มารีเฟรช ฝึกอบรมใหม่ แต่ก็ต้องกลับมาถามว่างบประมาณมีพอหรือไม่

ก่อนทิ้งท้ายย้ำอีกครั้งถึงการปฏิรูปตำรวจ ว่า การปฏิรูปตำรวจสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า ตำรวจ ผู้กำหนด-กุมนโยบาย และประชาชน ที่ต้องร่วมมือกัน “ตำรวจต้องอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ผมเชื่อลึกๆตำรวจส่วนใหญ่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงองค์กร อยากขับรถสายตรวจมีน้ำมันพร้อม อยากแต่งเครื่องแบบตำรวจแล้วประชาชนรัก ศรัทธา อยากให้ประชาชนรู้สึกว่าเวลาตำรวจเรียกให้หยุดรถ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ป้องกันอาชญากรรมไ ม่ใช่มองกันว่าจะมาไม่ดี ตั้งกล้องถ่ายคลิปรอ พร้อมจะแพร่ในโลกออนไลน์ ผมว่าตำรวจไม่สบายใจหรอกที่คนมองแบบนี้”

“ผมเชื่อว่าตำรวจอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ขณะเดียวกันก็มีปัจจัย ที่ตำรวจยังถูกคุมด้วยระดับนโยบาย อยากขยับเอง แต่ติดที่กรอบนโนบาย ข้อกฎหมาย งบประมาณ กรอบการทำงานหลายอย่างๆมาพัน ฝ่ายนโยบาย และประชาชนซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ต้องพร้อมปฏิรูปไปด้วยกัน” พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image