วิสาหกิจชุมชนโคราชรักกัญช์ เห็นด้วย ให้กัญชาเป็นยาเสพติด ชี้ ปลดล็อก 2 ปี ทำตลาดพัง เหตุนำเข้าจากต่างประเทศพุ่ง เสนอให้ปรับปริมาณ THC มากกว่า 0.5% เพื่อทำยา-ส่งออก
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นายมนตรี เยี่ยมสูงเนิน ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนคนโคราชรักกัญช์ กล่าวว่า จากกรณีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ได้ประชุมพิจารณา (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. … กำหนดให้กัญชาและกัญชงเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภทที่ 5 เพื่อเป็นข้อเสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งเสียงข้างมากในที่ประชุมฯ เห็นตรงกันว่า กัญชามีประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย แต่ไม่เห็นด้วยในการใช้เพื่อสันทนาการ จึงมีมติเห็นชอบให้นำกัญชาและกัญชง กลับเข้าสู่บัญชีรายชื่อยาเสพติดประเภทที่ 5 โดย (ร่าง) ประกาศดังกล่าว จะเพิ่มกัญชาและกัญชงในส่วนช่อดอกที่มีสารสกัด THC มากกว่า 0.2% เป็นยาเสพติด ยกเว้น กิ่ง ก้าน ราก ใบ เมล็ด
นายมนตรี กล่าวว่า การเปลี่ยนสถานะของพืชสมุนไพรกัญชา และกัญชง กลับมาเป็นยาเสพติดให้โทษนั้น ตนเห็นด้วย เพราะในช่วงที่ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศปลดล็อกให้ประชาชนสามารถปลูกกัญชาได้อย่างเสรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 มีประชาชนที่สนใจจะปลูก ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นปลูกกัญ มากกว่า 1,100,000 ราย ในขณะที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนของตนและที่อื่นๆ อีก 3,000-4,00 รายทั่วประเทศ ต้องไปทำความร่วมมือ (MOU) กับส่วนราชการเพื่อให้ได้รับใบอนุญาต จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะในห้วง 2 ปีที่ปลดล็อกกัญชา ทำให้พืชกัญชาและผลิตภัณฑ์กัญชาล้นตลาด มาการนำไปใช้เพื่อการสันทนาการจำนวนมาก ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ และที่สำคัญคือ ไม่สามารถควบคุมดูแลการใช้ได้ ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนเข้าถึงกัญชาโดยง่าย และยังมีการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศเข้ามาจำนวนมากด้วย จึงส่งผลกระทบทำให้กัญชาล้นตลาด และราคาตกอย่างรวดเร็ว หาที่ขายแทบไม่ได้ วิสาหกิจชุมชนต่างๆ จึงล้มหายไปเป็นจำนวนมาก
“เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนคนโคราชรักกัญช์ ก็พยายามประคับประคองตัวเอง ลงทุนไปกับการสร้างฟาร์มหมดไปเกือบ 10 ล้านบาท ต้องลดพื้นที่ปลูกกัญชาลง 90% เพราะถ้าปลูกเยอะก็หาที่ขายไม่ได้ เหลือไว้แค่ 1 แปลง เป็นโรงปิดปลูกกัญชาพันธุ์ต่างประเทศ เลี้ยงช่อดอกไว้ขายให้พอมีรายได้บ้าง และพอมีสัญญาณนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง เกษตรกรสมาชิกของกลุ่มฯ จำนวน 435 ราย ต่างมีความหวังมากขึ้น คิดว่าน่าจะดีสำหรับกลุ่มที่ปลูกเพื่อทางการแพทย์ แต่รายละเอียดที่ระบุใน (ร่าง) ประกาศ สธ.เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. … ที่ว่า “จะเพิ่มกัญชา และกัญชง ในส่วนช่อดอกที่มีสารสกัด THC มากกว่า 0.2% เป็นยาเสพติด ยกเว้น กิ่ง ก้าน ราก ใบ เมล็ด..” ซึ่งตนเห็นว่า น่าจะปรับเปลี่ยนค่า THC ให้สูงกว่านี้ ไม่ใช่บีบไว้แค่ 0.2 % อยากให้เพิ่มมากกว่านี้ อย่างน้อยสัก 0.5 % เพราะถ้านำไปทำเป็นน้ำมันกัญชาจะได้ไม่ผิดกฎหมาย เป็นการขยายโอกาสให้กับกลุ่มที่ปลูกเพื่อทางการแพทย์ได้มีช่องทางจำหน่ายในเชิงการค้าหรือแปรรูปได้กว้างขึ้น ไม่ใช่จำกัดการทำผลิตภัณฑ์ได้แค่ไม่กี่ตัวแบบเดิม” นายมนตรี กล่าวนายมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการส่งออกสารสกัด THC ไปยังประเทศที่มีความต้องการนำสารสกัด THC ไปแปรรูปทำเป็นยาด้วย เพราะกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ส่วนใหญ่จะลงทุนซื้อเครื่องสกัดสาร THC มาเตรียมไว้อยู่แล้วราคาหลายล้านบาท แต่กลับไม่ได้ใช้ เพราะสกัดสาร THC ออกมาแล้ว แต่ไม่สามารถขายได้ เงินของสมาชิกที่ร่วมลงทุนต้องมากองอยู่เฉยๆ ไม่สามารถเอาทุนคืนได้สักที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ปลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือผู้ที่ปลูกเพื่อสันทนาการ มีการลงทุนเปิดร้านจำนวนมาก ถ้าประกาศให้กัญชาเป็นยาเสพติด มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 ย่อมได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า จึงเป็นที่มาของการนัดรวมตัวกันคัดค้านมติดังกล่าวของคณะกรรมการยาเสพติด ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 นี้ แต่เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนคนโคราชรักกัญช์ ไม่ได้ไปเข้าร่วม ขอเร่งในเรื่องการเยียวยาจากรัฐบาลก่อน เพราะตอนนี้สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศได้รับความเดือดร้อนกันอย่างมากจริงๆ