กรมวิทย์ฯ เผยโควิด-19 ไทยเจอสายพันธุ์ JN.1 มากขึ้น หลังทั่วโลกพบป่วย 1.8 แสนคน
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมอย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือจากทุกโรงพยาบาล ให้เก็บและส่งตัวอย่างผู้มารับบริการที่ผลตรวจเบื้องต้นเป็นผลบวก จำนวน 5-10 ตัวอย่างต่อสัปดาห์ โดยส่วนกลางนำส่งที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และส่วนภูมิภาคนำส่งผ่านศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้การดำเนินงานเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 สามารถแสดงสัดส่วนสายพันธุ์กลายพันธุ์ระดับประเทศ และตรวจจับสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
นพ.ยงยศ กล่าวว่า สถานการณ์สายพันธุ์โควิด-19 ทั่วโลกจากฐานข้อมูลกลางจีเสด (GISAID) ณ ปัจจุบันพบสายพันธุ์ JN.1* มากที่สุด ในสัดส่วนร้อยละ 47.1 มีอัตราการพบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ KP.2* และ KP.3* พบสัดส่วนร้อยละ 22.7 และร้อยละ 22.4 ตามลำดับ ซึ่งมีอัตราการพบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทั้งสองสายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นกลุ่มที่ต้องจับตามอง ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา
นพ.ยงยศ กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย สายพันธุ์ JN.1* มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาด ณ ปัจจุบัน สายพันธุ์ JN.1* เป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ BA.2.86 ซึ่งกลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนส่วนหนามตำแหน่ง L455S และ F456L ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วโลกมีรายงานพบสายพันธุ์ JN.1* จำนวน 181,628 ราย จาก 115 ประเทศ (อ้างอิงข้อมูล CoV-spectrum ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567) ในขณะที่ประเทศไทยพบสายพันธุ์ JN.1* จำนวนทั้งหมด 716 ราย คิดเป็นสัดส่วนสะสมร้อยละ 41.10 ของสายพันธุ์ทั้งหมดที่พบในประเทศไทย นับตั้งแต่การพบครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ถึง ปัจจุบัน (อ้างอิงจากฐานข้อมูล GISAID)นพ.ยงยศ กล่าวว่า ข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 จากห้องปฏิบัติการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ในรอบ 30 วัน ระหว่างวันที่ 24 พฤษภาคม – 26 มิถุนายน 2567 จำนวน 182 ราย พบสายพันธุ์ JN.1* จำนวน 110 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.4 สายพันธุ์ KP.2* และ KP.3* (สายพันธุ์ย่อย JN.1.11.1*) จำนวน 37 ราย และ 22 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.3 และร้อยละ 12.1 ตามลำดับ และพบสายพันธุ์ JN.1.7* และ JN.1.18* จำนวนสายพันธุ์ละ 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.1 นอกจากนี้ ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการในรอบ 6 เดือน (เดือนมกราคม – มิถุนายน 2567) แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ JN.1* เป็นสายพันธุ์หลัก โดยสายพันธุ์ KP* (KP.1*, KP.2*, KP.3*, KP.4* และ KP.5*) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์ JN.1 ที่ต้องจับตามอง พบในสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 10 สำหรับสายพันธุ์ EG.5* ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ XBB.1.9.2* พบสัดส่วนลดลง อย่างต่อเนื่อง กระทั่งเดือนพฤษภาคมถึงปัจจุบัน ไม่พบสายพันธุ์ EG.5*
“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเครือข่ายห้องปฏิบัติการ ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยการรวบรวมตัวอย่างผลบวกเชื้อก่อโรคโควิด-19 จากการทดสอบ ATK หรือ Real time RT-PCR จากทั่วประเทศ ทดสอบด้วยเทคนิค Real-time RT-PCR เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคโควิด-19 เฉพาะกรณีที่ยังไม่มีผลการทดสอบ RT-PCR ถอดรหัสจีโนมทั้งตัว และเผยแพร่ผ่านฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างสม่ำเสมอ การฝ้าระวังติดตามสายพันธุ์ ที่ระบาดในประเทศอย่างเป็นปัจจุบัน ช่วยส่งเสริมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการในการรับมือกับการระบาดในอนาคต” นพ.ยงยศ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- กรมวิทยาศาสตร์ฯ ลดภาระสถานประกอบการประสบอุทกภัย ส่งทีมตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ฟรี!
- “สมศักดิ์” ลงพื้นที่ รพ.หลวงพ่อคูณ เป็นปธ.พิธีประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อคูณ-เปิดอาคาร 100 ปีชาตกาล
- สธ. เผยตัวเลขเหตุไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา หนีตายได้ 19 คน รุดส่งทีมเยียวยาจิตใจพ่อแม่ที่อุทัยฯ แล้ว
- สธ.ประชุมติดตาม “น้ำท่วม” ออก 5 ข้อสั่งการทุกพื้นที่เข้มเฝ้าระวังเหตุ