สบส.ส่งทีมตรวจสอบ ‘รพ.เอกชน’ เก็บเงินผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน สวนทางนโยบายรักษาฟรี 72 ชม.

กราฟิกมติชน

หลังจากประเด็นคำถามของสังคมเกี่ยวกับสายด่วนฉุกเฉิน 1669 ยังไม่ทันจบ ล่าสุดมีเรื่องนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินฟรีทุกที่ดีทุกสิทธิอีก โดบล่าสุดผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน ได้รับเรื่องร้องเรียนจาก น.ส.วิมลทิพย์ เจริญสุวรรณชื่น ญาติของผู้ป่วยที่ถูกเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านหัวหมาก ทั้งๆที่เข้ารับการรักษาในภาวะวิกฤตใน 72 ชั่วโมงรวมเป็นเงินช่วง 3 วันราว 1 แสนบาท ยังไม่รวมกับการผ่าตัดและอื่นๆอีกกว่า 1 สัปดาห์นั้น

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ น.ส.วิมลทิพย์กล่าวว่า เหตุเกิดเมื่อคุณแม่ อายุ 84 ปี ได้ล้มลงช่วงตี 4 กระดูกหัก ขณะนั้นพยายามโทรไปยังโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งย่านพระราม 6 แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสายจึงตัดสินใจโทรไปยังโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านย่านหัวหมาก เพื่อให้นำรถมารับที่บ้าน รถฉุกเฉินของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นมารับภายใน 10 นาที และได้นำแม่เข้าห้องไอซียู ต้องมีการผ่าตัดอีก

“ขณะนั้นด้วยความที่เป็นลูกเราก็ตกใจ ไม่ได้คิดถึงเรื่องว่าเข้าเกณฑ์นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินใน 72 ชั่วโมง ไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลเอกชนให้ทำอะไรเราก็ทำ โดยภายใน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน โรงพยาบาลก็บอกให้เราไปจ่ายเงินก่อนกว่าแสนบาท จากนั้นก็ยังอยู่ในโรงพยาบาลอีก โรงพยาบาลไม่ได้แจ้งว่าคือกรณีฉุกเฉินหรือไม่ พอแม่เริ่มดีขึ้น เริ่มมีคนบอกว่าควรลองติดต่อถามเรื่องสิทธิดู ได้โทรสอบถามไปยังสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือสิทธิบัตรทอง

“สปสช.ได้สอบถามและติดต่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น ปรากฏว่าเข้าเกณฑ์ฉุกเฉินและ สปสช.บอกว่าให้โรงพยาบาลทำเรื่องตั้งงบมา ให้จ่ายเงินแก่ผู้ป่วยไป แต่โรงพยาบาลไม่ยอม จนบัดนี้เราก็ยังไม่ได้เงินคืน สงสัยว่าต้องทำอย่างไรอีก เพราะ สปสช.ประสานให้อยู่ แต่เห็นว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนไม่มีเกณฑ์ควบคุมหรืออย่างไร อยากขอร้องหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินให้ช่วยเหลือด้วย เพราะเข้าใจว่ายังมีอีกหลายกรณีที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้” น.ส.วิมลทิพย์กล่าว

Advertisement

ล่าสุดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นพ.วิศิษฎ์ ตั้งนภากร อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ทางสบส.เข้าใจดี แต่ในส่วนที่จะดำเนินการเอาผิดกับโรงพยาบาลเอกชนที่เก็บเงินเจ็บป่วยฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงนั้น ก่อนอื่นต้องพิจารณาก่อนว่า ผู้ป่วยอยู่ในข่ายวิกฤตสีแดงหรือไม่ ซึ่งจากข่าวที่ปรากฎพบว่ามีโอกาสเป็นเช่นนั้น แต่ปัญหาคือ ยังไม่มีกฎหมายไปบังคับใช้ ที่ผ่านมาเป็นเพียงการขอความสมัครใจกับทางโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้ร่างกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2559 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นกฎกระทรวง 3 ฉบับ โดย 2 ฉบับแรกเหลือเพียงเสนอปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการ สธ.ลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นพ.วิศิษฎ์ กล่าวอีกว่า ฉบับแรก เป็นประกาศประเภทของเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตสีแดง ว่ามีอะไร อย่างไร และฉบับที่ 2 เป็นข้อบังคับ หากผู้ป่วยมาด้วยอาการวิกฤตสีแดง ซึ่งเป็นไปตามที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) กำหนด รพ.นั้นๆทั้งรัฐและเอกชนจะต้องรักษาให้พ้นวิกฤตภายใน 72 ชั่วโมง จากนั้นจึงต้องส่งต่อไปยังรพ.ตามสิทธิของผู้ป่วย หากไม่ดำเนินการหรือเก็บเงินผู้ป่วยจะมีความผิดตามกฎหมายทันที ปรับ 40,000 บาท หรือจำคุก2 ปี ส่วนฉบับที่ 3 เป็นประกาศค่าใช้จ่าย โดยอิงข้อมูลจากสพฉ. กำหนดราคาค่าใช้จ่ายตามรายการที่ปรากฎจริง(อาการผู้ป่วย) ในอัตราการชดเชยสำหรับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งจะมีเป็นรายงานที่ตกลงร่วมกันระหว่าง สพฉ.และรพ.โดยจัดเป็นราคากลางขึ้น ซึ่งกรณีนี้ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยประกาศดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการ สธ.ได้มอบนโยบายให้ประกาศใช้ภายในเดือนเมษายนนี้

“ส่วนกรณีที่มีรพ.เอกชนย่านหัวหมากเรียกเก็บเงินผู้ป่วยฉุกเฉินนั้น ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบว่า มีการดำเนินการที่ขัดต่อพ.ร.บ.สถานพยาบาลฯหรือไม่ อย่างราคาที่แจ้งต่อผู้ป่วยและญาติ แต่มีการเก็บเงินเกินจริงหรือไม่ หากมีก็ถือว่าผิดมีโทษจำคุก 1 ปีและปรับ 20,000 บาท” นพ.วิศิษฎ์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image