เมื่อวันที่ 7 กันยายน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มุ่งปรับตัวไปสู่การให้บริการสุขภาพดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาช่องทางบัญชีไลน์ทางการ (Line Official Account : Line OA) “หมอพร้อม” มาตั้งแต่ พ.ศ.2564 ช่วงแรกใช้เป็นระบบรับรองการรับวัคซีนโควิด-19 ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ นัดหมายฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และมีการพัฒนาฟีเจอร์ ฟังก์ชันต่าง ๆ ให้เป็น 1 ในการเชื่อมโยงการรับบริการด้านสุขภาพดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ช่วยอำนวยความสะดวกการให้บริการและรับบริการสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน ปัจจุบันสามารถใช้ในการนัดหมายออนไลน์ แจ้งเตือนคิวออนไลน์ ใบรับรองแพทย์ดิจิทัล ตรวจสุขภาพ เช็กสิทธิการรักษา/ประกันสุขภาพ เข้าถึงข้อมูลและประวัติสุขภาพส่วนบุคคล อีกทั้งยังเป็นช่องทางสื่อสารและประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านสุขภาพด้วย ล่าสุด ได้ร่วมมือกับสภากาชาดไทย ใช้เป็นช่องทางแสดงความจำนงบริจาคดวงตาและอวัยวะ ภายใต้การรักษาความปลอดภัยด้วยการส่งรหัสแบบครั้งเดียว (OTP) สำหรับการยืนยันตัวตนในการเข้าระบบบริการสุขภาพดิจิทัลต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้นับเป็นเวลากว่า 3 ปี มีผู้ใช้งาน Line OA หมอพร้อมถึง 15,799,943 รายชื่อ
นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า การดำเนินงานของ Line OA “หมอพร้อม” ส่งผลให้ในปีพ.ศ.2565 กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานราชการหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัล Line Thailand Awards 2021 “Best Govtech for Thais” จากบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด จากผลงานที่สร้างการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพให้กับคนไทยทั้งประเทศ ขณะที่ผลการสำรวจของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2566 เกี่ยวกับความพึงพอใจของประชาชนที่ใช้งานผ่านระบบหมอพร้อม พบว่า มีความพึงพอใจระดับมากถึงมากที่สุด ร้อยละ 67 ทั้งนี้ สธ. ยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบ Line OA หมอพร้อมให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การให้บริการสุขภาพดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมามีการใช้งบประมาณทั้งสิ้น 16.2 ล้านบาทสำหรับสนับสนุนและพัฒนาช่องทางสื่อสารนี้
“สำหรับการส่งข้อความผ่าน Line OA หมอพร้อมนั้น จากข้อมูลช่วง 8 เดือนของพ.ศ.2567 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 สิงหาคม พบว่า มีการส่งรวม 1,170,167,162 ข้อความ เฉลี่ยเดือนละ 146 ล้านข้อความ ซึ่งหากคำนวณจากแพ็คเกจการสื่อสารของไลน์ ที่จะประกาศใช้ใน พ.ศ.2568 กรณีใช้แพ็คเกจสูงสุดเพื่อส่งข้อความได้ไม่จำกัด คือ 48 ล้านข้อความต่อเดือน ส่วนต่างข้อความละ 0.01 บาท จะพบว่า กระทรวงสาธารณสุขสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มากกว่า 50 ล้านบาท” นพ.โอภาส กล่าว