ที่มา | คอลัมน์ เดินหน้าชน มติชนรายวัน |
---|---|
เผยแพร่ |
บรรดา “ขี้ยา” หรือจะเรียกให้ดูดีมีราคาหน่อยก็ “สิงห์อมควัน” ต่างร้องจ๊ากไปตามๆ กัน ที่ต้องควักเงินจ่ายซื้อบุหรี่เพิ่มขึ้นมากถึงซองละ 5-25 บาท หลังรัฐบาลประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เป็นการรีดเลือดจาก “ปูขี้ยา” อย่างโหดเหี้ยมมาก
สมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต แจกแจงว่า การปรับขึ้นภาษีบุหรี่ครั้งนี้จะทำให้กรมสรรพสามิตมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ กว่าหมื่นล้านบาท
พร้อมยืนยันว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการลดการบริโภคบุหรี่ และป้องกันขี้ยาหน้าใหม่ ส่วนรายได้ที่เพิ่มกว่าหมื่นล้านบาท เป็นแค่ผลพลอยได้
เป็นการปฏิเสธถึงข้อสงสัยว่าการขึ้นภาษียาสูบครั้งนี้ เพราะรัฐบาลกำลังจะ “ถังแตก” หรือเปล่า
ถึง “ถัง” จะไม่แตก แต่ก็เข้าข่ายว่า “ถังรั่ว”
“ถังรั่ว” เพราะรายได้จากภาษีศุลกากรจะหดหายไป ตามพันธกรณีการค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ที่มีข้อตกลงเรื่องการลดภาษีนำเข้า ซึ่งหลายรายการภาษีจะเหลือ 0%
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557-กันยายน 2558) กรมศุลกากรจัดเก็บรายได้รวม 115,488 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 6,912 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.6
ขณะที่กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้รวม 1,729,203 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 235,997 ล้านบาท หรือร้อยละ 12
โดยภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 115,450 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.9 ผลจากฐานกำไรสุทธิจากผลประกอบการปี 2557 ของภาคธุรกิจ ต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 66,995 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.6 แบ่งเป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการนำเข้าต่ำกว่าเป้าหมาย 62,231 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.2 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบลดลง
ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคในประเทศจัดเก็บต่ำกว่าเป้าหมาย 4,764 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 เนื่องจากประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย
แต่ยังมีพระเอกคือกรมสรรพสามิต ที่จัดเก็บรายได้รวม 439,093 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 17,693 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2
สำหรับงบประมาณปี 2559 (1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2559) กรมสรรพากรตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ที่ 1.895 ล้านล้านบาท กรมสรรพสามิต 4.69 แสนล้านบาท และกรมศุลกากรที่ 1.2 แสนล้านบาท
ดูแล้วกรมสรรพากรและกรมศุลกากรท่าจะพลาดเป้าอีก ส่วนกรมสรรพสามิตน่าจะเป็นพระเอกต่อไป
จากตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของประเทศจะเห็นภาพความเป็นไปได้ว่า “ถังรั่ว”
บรรดา “ปูขี้ยา” จึงต้องถูกจับรีดเลือดเพื่อไม่ให้ “ถังรั่ว” มากขึ้น ที่จะอาจทำให้ “ถังแตก” ในที่สุด
นอกจากนี้พวก “ปูขี้เมา” ก็ส่อว่าจะร่วมชะตาเดียวกันกับ “ปูขี้ยา” เพราะมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการขึ้นภาษีสรรพสามิตเหล้าเบียร์อีก เพื่อช่วยอุด “ถังรั่ว” ด้วย
บรรดา “ปูขี้ยา” และ “ปูขี้เมา” ก็ไม่ได้ออกมาโวยวายอะไร ด้วยเพราะเป็นพลเมืองชั้นสอง ชั้นสามในสังคม
แต่กระนั้นก็ยังมีคำถามถึงเงินภาษีบาปบางส่วนที่ต้องส่งให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีสุรา ยาสูบ
อยากถามว่าเงินที่ สสส.นำไปใช้รณรงค์ผ่านโฆษณาตามสื่อต่างๆ นั้นช่วยให้คนเลิกเหล้า ละบุหรี่ เป็นมรรคผลแค่ไหน
ที่ระบุถึงผลงานเด่นในปี 2557 ว่า หลักชัยนโยบายควบคุมการบริโภคยาสูบ ขยายภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ 85% และขับเคลื่อนกฎหมาย “ห้ามขาย-ห้ามดื่มบนรถไฟ”
อยากถามว่าการขับเคลื่อนให้ออกมาตรการทางกฎหมายนั้นต้องใช้เงินมากแค่ไหน
ทั้งนี้ เพราะมาตรการที่ช่วยให้คนลดละเหล้า-เลิกบุหรี่ อย่างได้ผลจะเป็นการบังคับทางกฎหมายทั้งนั้น การทุ่มเงินให้กับมาตรการเสริมอย่างการโฆษณารณรงค์ต่างๆ นั้นมันคุ้มค่าไหม
หากนำเงินจากภาษีบาปไปให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะดีกว่าไหม…บรรดา “ปูขี้เหล้า เมายา” เขาฝากถามมา