กรมส่งเสริมเกษตร คาดสำรวจพื้นที่เสียหายเสร็จ ต.ค.นี้ พิจารณาใช้เงินรองช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัย และปริมาณฝนที่ตกมาก ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคใต้ฝั่งตะวันออก เป็นช่วงภัยที่เกิดในช่วง 14 กรกฎาคม-27 กันยายน 2567 กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการลดระยะเวลาขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตร ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรรวดเร็วยิ่งขึ้น จากเดิมไม่เกิน 90 วัน เหลือไม่เกิน 65 วัน และตนได้สั่งการให้ทุกจังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติงานและบูรณาการการทำงานในพื้นที่ให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้ทันสถานการณ์
ปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการสำรวจความเสียหายแล้ว คิดเป็น 85.16 % และอยู่ระหว่างการสำรวจความเสียหาย คิดเป็น 14.84 % เนื่องจากยังมีน้ำท่วมขังและบางพื้นที่เกิดกรณีน้ำหลากซ้ำ
นายพีรพันธ์ กล่าวว่า การดำเนินการสามารถช่วยเหลือเกษตรกรเสร็จสิ้นแล้ว คิดเป็นพื้นที่เสียหายจำนวน 12,825.50 ไร่ วงเงินช่วยเหลือ 18,855.691.75 บาท อยู่ระหว่างการช่วยเหลือเกษตรกรจำนวน 79,623 ราย คิดเป็นพื้นที่เสียหาย จำนวน 644,876. ไร่ วงเงินช่วยเหลือ 917,331,001.75 บาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) จำนวน 8 จังหวัด และพร้อมเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) จำนวน 21 จังหวัด
โดยคาดว่าจะสามารถสำรวจให้แล้วเสร็จ และพร้อมจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ช.ภ.อ. ได้ครบถ้วน ภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้สามารถใช้เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดหรือในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2562 และหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2564
โดยเกษตรกรจะต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรก่อนเกิดภัย โดยจะได้รับความช่วยเหลือครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ แบ่งเป็น ข้าว ไร่ละ 1,340 บาท พืชไร่และพืชผัก ไร่ละ 1,980 บาท ไม้ผลไม้ยืนต้นและอื่นๆ ไร่ละ 4,048 บาท ซึ่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือ โดยมุ่งหมายที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของผู้ประสบภัยพิบัติ แต่มิได้มุ่งหมายที่จะชดใช้ความเสียหายให้แก่ผู้ใด ซึ่งต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน หรือเป็นการซ่อมแซมให้คืนสู่สภาพเดิม โดยการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราช่วยเหลือที่กระทรวงการคลังกำหนด
นายพีรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับขั้นตอนการขอรับความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านพืช โดยเกษตรกรจะยื่นเอกสารเพียงครั้งเดียว และภายใน 10 วันทำการหลังจากได้รับการอนุมัติ ธ.ก.ส.จะโอนเงินเข้าบัญชีให้เกษตรกรโดยตรง ตามลำดับต่อไป ให้เกษตรกรระวังการแอบอ้างจากมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีในการรับเงินด้วย
นอกจากนี้ นายพีรพันธ์ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้เตรียมการสนับสนุนการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์ขยายพันธุ์พืช (ศขพ.) จำนวน 10 แห่ง ได้จัดเตรียมเมล็ดพันธุ์และต้นพันธุ์พืชไว้พร้อมแล้ว ซึ่งเป็นพืชอายุสั้นที่เกษตรกรสามารถนำไปปลูกเพื่อเป็นอาหาร ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวและเพิ่มรายได้ เช่น เมล็ดพันธุ์พืชผัก จำนวน 137,000 ซอง ประกอบด้วย พริก มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู และกระเจี๊ยบเขียว ต้นพันธุ์พืชผักพืชอาหาร จำนวน 28,000ซอง และต้นพันธุ์ไม้ผลไม้ยืนต้น รวมทั้งศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านการอารักขาพืช (ศทอ.) จำนวน 9 แห่ง ได้ดำเนินการจัดเตรียมเชื้อราไตรโคเดอร์มา ทั้งแบบพร้อมใช้และหัวเชื้อขยาย พร้อมสนับสนุนเพื่อให้เกษตรกรนำใช้ในการฟื้นฟูป้องกันเชื้อสาเหตุโรคพืชสำหรับพื้นที่เพาะปลูกไม้ผลหลังน้ำลด และยังเปิดจุดบริการซ่อมเครื่องจักรกลทางการเกษตรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยให้กับเกษตรกร
ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด หรือสำนักงานเกษตรอำเภอในพื้นที่ของท่าน