รัฐบาลไทยตั้งเป้าไทยยุติปัญหาเอดส์ได้ในปี 2573 พร้อมชู 3 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่โรงแรมเซนทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซนเตอร์ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ เปิดงานสัมมนาระดับชาติเรื่องโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ครั้งที่ 15 และปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายประชารัฐกับการป้องกันโรคและดูแลสุขภาพ ด้านโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ว่า ทุกประเทศทั่วโลกดำเนินการร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกรณีสหประชาชาติ พ.ศ.2554 ที่มีด้วยกัน 3 ประการ คือ ไม่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ไม่มีการเสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ และไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ โดยจะป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 18 ล้านคน และป้องกันไม่ให้มีผู้ที่จะเสียชีวิตจากเอดส์ 11.2 ล้านคนทั่วโลก ในระหว่าง พ.ศ.2556-2573

พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวต่อว่า รัฐบาลมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการของรัฐ ยกระดับคุณภาพบริการ เน้นการป้องกันโรคมากกว่ารอให้ป่วยแล้วจึงมารักษา ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และภาคส่วนต่างๆ ที่จะช่วยพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์และกล่าวถึงการแก้ปัญหาเอดส์เป็นการเฉพาะไว้ว่า ต้องแก้ปัญหาอย่างรอบด้าน ให้นโยบายที่ชัดเจนในการยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาสาธารณสุขอย่างมีส่วนร่วมระหว่างรัฐและประชาชนมาโดยตลอด รูปแบบที่เด่นชัดและเป็นตัวอย่างระดับโลกคือ งานสาธารณสุขมูลฐานที่อาศัยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกำลังสำคัญร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข

“ล่าสุดมีนโยบายการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ติดเชื้อทุกรายโดยไม่คำนึงถึงระดับเม็ดเลือดขาวซีดี 4 และเมื่อมิถุนายน พ.ศ.2559 ประเทศไทยแสดงเจตนารมณ์ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยโรคเอดส์ ตั้งเป้าภายในปี พ.ศ.2573 ประเทศไทยจะไม่มีเด็กติดเชื้อเอชไอวีเมื่อแรกเกิด ผู้ใหญ่ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ต้องมีจำนวนน้อยกว่า 1,000 ราย/ปี ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนเข้าถึงการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และจะไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากการติดเชื้อเอชไอวี เหนือสิ่งอื่นใดทุกคนต้องมีจิตสำนึกในการระวังป้องกันไม่เพียงแค่โรคเอดส์เท่านั้น ยังรวมถึงโรคทางเพศสัมพันธ์อื่นด้วย โดยมียุทธศาสตร์สำคัญ ดังนี้ 1.สังคมต้องเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับโรคเอดส์ 2.ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานจากการควบคุมการระบาดของโรค เป็นการยุติปัญหา 3.เติมเต็มช่องว่างการดำเนินงานในปัจจุบัน ด้วยวิธีการดำเนินงานที่มีประสิทธิผลสูงขึ้น กำหนดชุดบริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีความเหมาะสมกับบริบทของกลุ่มประชากรเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ และ 4.ผสมผสานเชื่อมโยงการป้องกันกับการดูแลรักษาเข้าด้วยกัน ให้มีความต่อเนื่องตลอดชีวิต” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว

 

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image