เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่วัดพิชยญาติการาม สมเด็จพระพุทธชินวงศ์(สมศักดิ์ อุปสโม) กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กล่าวสัมโมทนียกถาในฐานะประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ภายในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “นโยบายและทิศทางของการพัฒนาสถานีวิทยุกระจายเสียงพระพุทธศาสนาแห่งชาติในกำกับของมส.” โดยมีเจ้าหน้าที่จากสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์เข้าร่วมงานจำนวน 350 รูป/คน ว่า
ในปัจจุบันสื่อวิทยุและโทรทัศน์มีบทบาทอย่างยิ่งในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพราะสามารถช่วยให้ธรรมะเข้าถึงจิตใจประชาชนได้อย่างทันท่วงที อาตมารู้สึกปลาบปลื้มที่ผู้มาร่วมงานสัมมนามีฉันทะที่จะสนองงานของศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้มีนโยบายแนวทางปฏิบัติให้เป็นแนวทางเดียวกัน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไปจะมีทั้งเสียง ทั้งโสตและภาพ ทั้งนี้ ประชาชนทั้งหลายจะได้ทราบข่าวสารความเคลื่อนไหวของคณะสงฆ์ว่าคณะสงฆ์เราได้ช่วยกันทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้เกิดแรงศรัทธาและเกิดแรงผลักดันให้เกิดความสนใจเข้ามาศึกษาและเข้ามาปฏิบัติธรรมซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติและพระศาสนา โดยเฉพาะสายตาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มองดูพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จะเป็นสายตาที่ประกอบไปด้วยความศรัทธา ความเลื่อมใส ว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาได้ทำหน้าที่ของท่านโดยสมบูรณ์ทุกประการ
พระครูรัตนโสภณ เจ้าอาวาสวัดนายโรง กล่าวในฐานะเลขานุการคณะทำงานจัดตั้งสถานีวิทยุพระพุทธศาสนาฯ ว่า คณะทำงานการจัดตั้งสถานีวิทยุพระพุทธศาสนาฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานตามมติมส.เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2550 โดยมีพระพรหมเมธี(จำนงค์ ธมฺมจารี) กรรมการมส. เป็นประธานคณะทำงาน คณะทำงานตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นคณะบุคคลที่ช่วยกำกับดูแลและประสานงานเกี่ยวกับการจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงของคณะสงฆ์ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมส.และหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งปัจจุบันมีสถานีวิทยุฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากมส.จำนวน 401 สถานี และยังมีสถานีวิทยุฯอีก 87 สถานีที่จัดตั้งโดยวัดและชุมชน ยังไม่ผ่านความเห็นชอบของมส.
“สำหรับการจัดสัมมนาครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบนโยบายและทิศทางของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมถึงการพัฒนาด้านเทคนิค การหารือเรื่องกฎหมาย กระบวนการออกอากาศร่วมกัน และรับฟังความคิดเห็น ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการสถานีวิทยุฯ” พระครูรัตนโสภณ กล่าว
นายสมชาย สุรชาตรี ผู้ตรวจการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า การใช้สื่อวิทยุกระจายเสียงของพระสงฆ์ก็มีข้อควรระมัดระวัง เพราะบางครั้งมีพระสงฆ์บอกบุญผ่านสื่อดังกล่าว ซึ่งอาจผิดกฎมส.ได้ เนื่องจากการเรี่ยไรบอกบุญพระสงฆ์ ตามกฎแล้วสามารถบอกญาติโยมภายในวัดได้ แต่บอกผ่านสถานีวิทยุกระจายออกนอกวัดไม่ได้ และหากตรวจสอบพบสถานีวิทยุอาจถูกสั่งปิด อย่างไรก็ตาม มีพระสงฆ์หลายรูปถามเข้ามามากว่าหากไม่ให้เรี่ยไรเพื่อนำเงินมาบริหารสถานีวิทยุฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยจัดสรรงบมาช่วยในส่วนนี้ได้หรือไม่ ซึ่งคำถามนี้ยังไม่สามารถตอบได้
นอกจากนี้ อยากฝากเตือนพระสงฆ์ทุกท่านที่เล่นโซเชียลให้ระวังอย่างมากในการแชร์ข้อความที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนา เพราะการแชร์ 1 ครั้ง เท่ากับติดคุก 1 ครั้ง เพราะขณะนี้มีพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กำกับอยู่ จึงต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะมีกรณีตัวอย่างที่พระสงฆ์บางรูปแชร์ข้อความเกี่ยวกับบันทึกลับ 11 ข้อของพี่น้องศาสนาอื่น แม้จะเป็นข้อความที่ส่งต่อมาหลายปีแล้วก็ตามและไม่มีใครรู้ว่าเป็นข้อมูลเท็จหรือจริง เมื่อถูกตรวจสอบและพบว่าทำผิดพ.ร.บ.คอมฯในมาตรา 14 ที่ระบุว่า นำเข้า/ปลอม/เท็จ/ภัยมั่นคง/ลามก/ส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ ผู้ที่กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในกรณีดังกล่าวส่งผลให้พระสงฆ์ที่แชร์ข้อความมีความผิดทางกฎหมายบ้านเมืองจำเป็นต้องสึกออกไปรับโทษ ส่งผลให้เมื่อเข้ามาบวชใหม่ต้องเริ่มนับพรรษาใหม่ ดังนั้นการจะแชร์ข้อความใดๆ ควรระมัดระวังเพราะอาจเป็นดาบ 2 คมได้