ชัชชาติ ทุ่มงบพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนกทม. ตอบโจทย์โลก เฉลยที่มาคำขวัญ ค้นกูเกิลหาคำฮิต หวังโดนใจเด็ก
เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 (จตุจักร) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานเปิดงานวันเด็ก 2568 จัดโดย สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.)
นายชัชชาติกล่าวว่า จากคำขวัญวันเด็ก ‘ชีวิตเปลี่ยนได้ ด้วยนิสัยดี ๆ เริ่มเลยทันที ไม่ต้องให้ถาม กี่โมง’ นิสัยเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่เราทำสม่ำเสมอ อยากให้พวกเราคิดว่าจะทำนิสัยดีๆอะไร เช่น ไม่แกล้งเพื่อน กินผักเยอะขึ้น อ่านหนังสือวันละ 15 นาที ท่องศัพท์วันละ 5 คำ ตั้งใจแล้วทำให้ได้ ไม่ต้องให้พ่อแม่ถามว่ากี่โมง ขอให้เริ่มวันเด็กด้วยนิสัยดีๆ
ที่มาคำขวัญวันเด็กปีนี้เป็นเรื่องยาก ต้องคิดออกมาให้เด็กถูกใจด้วย ส่วนหนึ่งเกิดมาจากที่เราไปคุยกับรุ่นพี่หลายคนเพื่อถกปัญหาประเทศชาติ ว่าทำไมประเทศไทยถึงมีปัญหาการคอร์รัปชัน จะแก้ได้อย่างไร มีพี่คนหนึ่งที่เรานับถือบอกว่ามาจากนิสัย ถ้าเราปรับนิสัยคนได้ ให้มีนิสัยเห็นแก่ส่วนรวม ไม่ทุจริตคอร์รัปชัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา สำคัญมากกว่าความรู้ด้วยซ้ำ ก็มาคิดคำขวัญวันเด็กคำที่ฮิตๆ เลยค้นหาในกูเกิลคำยอดฮิตในปี 67 มีคำว่า ’กี่โมง‘ หมายถึง การรักษาสัญญา การไม่ผัดวันประกันพรุ่ง คำว่านิสัยก็เข้ากับคำว่ากี่โมง ก็คิดว่ามีประโยชน์ไม่ใช่แค่เด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สำคัญว่านิสัยเปลี่ยนชีวิตได้
นายชัชชาติกล่าวว่า กทม.ต้องทำให้ดีที่สุดในการประคับประคองเด็ก เพราะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของเมือง กทม.จึงให้ความสำคัญกับการศึกษามาก ทั้งการปรับปรุงห้องเรียน พัฒนาครู ปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์ โดยมีคอมพิวเตอร์ใหม่กว่า 20,000 เครื่อง พัฒนาหลักสูตรใหม่ รับสมัครนักธุรการมาช่วยครูทำเอกสาร เพื่อให้ครูมีเวลาดูแลเด็กมากขึ้น เปิดรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 เพื่อช่วยบรรเทาภาระผู้ปกครอง ก็มีพ่อแม่หลายคนชื่นชอบ สามารถนำลูกเข้ามาเรียนแล้วต่อไปชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้เลย
“หน้าที่เราต้องนำเด็กๆเดินไปสู่อนาคตที่มั่นคง และต้องเข้าใจจิตใจเขาด้วย ไม่ใช่เอาใจเราเป็นหลัก ต้องพยายามคุยกับเขาแชะเข้าใจจิตใจเขา” นายชัชชาติกล่าว
นายชัชชาติกล่าวว่า ที่ผ่านมา กทม.พยายามทำในหลายมิติ เราเห็นสิ่งต่างๆพัฒนาขึ้น แต่เป็นเรื่องที่ท้าทายไม่ใช่เรื่องง่าย กทม.มีเด็กที่ต้องดูแลกว่า 250,000 คน เราไม่ปฏิเสธการรับเด็ก อย่างที่โรงเรียนวัดม่วงแค เขตบางรัก มีเด็กกว่า 12 ชาติ เรียนร่วมกัน กทม.ก็ให้เรียนฟรีหมด เพราะไม่ว่าจะเชื้อชาติใดถือว่าเป็นบุคลากรของกรุงเทพฯ ที่ต้องพัฒนา
เรื่องการศึกษา สาธารณสุข เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในกรุงเทพฯ ทำอย่างไรให้เด็กมีชีวิตดีกว่าพ่อแม่ เขาต้องมีการศึกษาที่ดี ได้รับทรัพยากรที่เหมาะสมในการพัฒนาตัวเอง รวมถึงเรื่องอาหารกลางวันมีเด็กหลายคนชื่นชม เนื่องจาก กทม.มีการจัดเตรียมอาหารตามหลักโภชนาการ เรามีการตรวจตามมาตรฐานต่างๆ เสริมนมให้เด็กด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆที่เราหว่านเมล็ดพันธุ์ไปเริ่มเห็นผล เห็นคุณภาพเด็ก มีการศึกษาที่ดีขึ้น
นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับปี 68-69 และในอนาคต กทม.ต้องพัฒนาหลักสูตรใหม่ให้ตอบโจทย์โลกอนาคต ที่ผ่านมามีการทำหลักสูตรนวัตกรรม เป็นต้นแบบที่ทำไม่กี่โรงเรียน โดยในปี 68 จะขยายไปในทุกโรงเรียน เพราะเด็กมีผลการเรียนที่ดีขึ้น 28% จากห้องเรียน Digital Classroom ในวาระการทำงาน 1 ปี 5 เดือน เราจะขยายผล
“เรื่องการศึกษาจะทำมั่วๆไม่ได้ ต้องมีหลักฐาน ผลการศึกษาชัดเจนว่าได้ประโยชน์ เราไม่สามารถทำทุกโรงเรียนพร้อมกันได้ ต้องมั่นใจก่อนว่าที่ทำมาถูกต้อง ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาของการขยายผล คิดว่ามาถูกทางแล้ว ตัวเลขต่างๆชี้ออกมาแล้วว่า เด็กมีความสุขขึ้น ครูมีความสุขขึ้น” นายชัชชาติกล่าว
นายชัชชาติกล่าวว่า กทม.ยังมีปัญหาเรื่องการบรรจุอัตราครู ครูยังขาดสวัสดิการที่อยู่อาศัย ปีนี้มีการเพิ่มห้องพักครู 200 ห้อง เพื่อไม่ให้ครูมีภาระเรื่องค่าที่อยู่อาศัย และอยู่ใกล้โรงเรียนใกล้เด็กมากขึ้น เป็นสิ่งที่ต้องเพิ่มเพื่อดึงดูดคนเก่งๆ และอยู่เป็นบุคลากรนานๆด้วย
“หวังว่าวันเด็กวันนี้ เด็กทุกคนจะมีความสุข เราอยากจะให้เด็กเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณค่าของเมือง สุดท้ายแล้วเมืองเราก็ดีได้เท่าเด็กที่เรามี สุดท้ายเด็กจะเป็นเจ้าของเมืองนี้ต่อไป” นายชัชชาติกล่าว