ตำรวจสอบสวนกลาง รวบ 2 น้าหลาน หลอกลงทุนตู้เงินปันสุข-k4 อ้างได้ค่าตอบแทนสูงหลักแสนบาท อายัดทรัพย์กว่า 50 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. นำแถลงผลการจับกุม น.ส.เริงฤดี อายุ 45 ปี และ น.ส.พรพิมล อายุ 30 ปี สองน้าหลาน กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท ปันสุข555 จำกัด และบริษัทเคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด พร้อมยึดอายัดทรัพย์กว่า 50 ล้านบาท
พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิกล่าวว่า สืบเนื่องเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ผู้เสียหาย 61 ราย ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีกับบริษัท ปันสุข555 จำกัด และบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งมีผู้ต้องหาทั้งสองเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ มีพฤติกรรมชักชวนให้มาร่วมลงทุนธุรกิจซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ในนามซิมการ์ดโทรศัพท์ระบบเติมเงินชื่อ Sim K4 แล้วตู้เติมเงินชื่อ “ตู้เคธี่ปันสุข” โดยลงทุน 50,000 บาท จะได้รับผลตอบแทนภายใน 500 วัน เป็นเงิน 150,000 บาท และถ้าหากมีการชักชวนดีลเลอร์มาร่วมลงทุนจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึงร้อยละ 50% โดยผู้ที่สนใจลงทุนต้องสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ของบริษัท และโอนเงินลงทุนผ่าน QR code
ช่วงแรกผู้เสียหายได้รับค่าตอบแทนจริง ทำให้หลายคนเริ่มมีการบอกปากต่อปากชักชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ต่อมาเดือนตุลาคม 2567 ผู้เสียหายไม่ได้เงินค่าตอบแทน จึงได้พยายามทวงถามแต่ผู้ต้องหาทั้งสองคนอ้างว่าตู้เติมเงินมีปัญหา ทำให้ตัวแทนผู้เสียหาย 61 คน จากทั้งหมดเกือบ 300 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 27 ล้านบาท รวมตัวกันมาแจ้งความที่ บก.ปอศ. เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์
- ไตรรัตน์ ยันตู้เติมเงิน เคธี่ปันสุข ไม่มีใบอนุญาตกสทช. เสี่ยงเป็นธุรกิจเครือข่าย ส่งเรื่องไปสคบ.แล้ว
เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวน และได้แฝงตัวแกล้งว่าเป็นผู้สนใจ ผู้ต้องหาทั้งสองคนจึงได้เชิญไปอบรมที่บริษัทย่านคันนายาว ในบริษัทมีพนักงาน 15 คน ก่อนจะอ่านหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองคน พร้อมกับตรวจยึดของกลางเป็นรถยนต์หรู 11 คัน, ตู้เติมเงิน 258 ตู้, กระเป๋าแบรนด์เนม 4 ใบ และทรัพย์สินอื่นๆ รวมแล้วกว่า 50 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาสั่งตู้เติมเงินมาจากบริษัทในประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน และไม่ได้มีการขออนุญาต กสทช.ในการประกอบกิจการ รวมทั้งผู้ต้องหา 2 คน มีการยักยอกถ่ายโอนแปลงสภาพทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ และตู้เติมเงินบางตู้ไม่สามารถใช้งานได้จริง
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา