‘หมอธงชัย’เชื่อ พ.ร.บ.โค้ดมิลค์เดินหน้า หลังผ่าน สนช.วาระแรก ฝ่าฝืนโทษทั้งจำ-ปรับ

‘หมอธงชัย’เชื่อมั่น พ.ร.บ.โค้ดมิลค์เดินหน้าได้ หลังผ่าน สนช.วาระแรก ย้ำห้ามโฆษณาส่งเสริมการขายเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มอาหารทารก ด้านจุฬาฯเผยปัญหาสถานที่ทำงานไม่เอื้อแม่ให้นมลูก พบถูกไล่ออก 3-4 ราย หลังใชัเวลาบีบนมให้ลูกกินแค่ 20 นาที

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่โรงแรมเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการสัมมนาสื่อมวลชน “การเพิ่มการรับรู้เกี่ยวการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการให้อาหารตามวัยทารกและเด็กเล็กสำหรับสื่อมวลชน..” ว่า ที่ผ่านมากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และภาคีเครือข่ายได้เดินหน้า พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.. หรือ พ.ร.บ.โค้ดมิลค์ (Code milk) โดยเบื้องต้นผ่านการพิจารณาวาระแรกจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีกระบวนการที่อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดและลดความน่าเชื่อถือของ พ.ร.บ.นี้ แต่เชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันดีว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ได้ควบคุมการจำหน่ายหรือปิดกั้นธุรกิจ แต่เป็นการปกป้องแม่และเด็กทารกให้ได้รับอาหารที่เหมาะสม เพราะที่ผ่านมามีการโฆษณาอาหารเด็กเล็กที่เหมารวมให้ทารกบริโภคไปด้วย ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนจากนมแม่ จึงมองว่ากฎหมายเดินหน้าได้ เพียงแต่ระหว่างทางอาจถูกสร้างความเข้าใจผิด ก็ต้องมีการสื่อสารที่ถูกต้อง

“จึงขอย้ำว่าการมีกฎหมายก็เพื่อปกป้องคุ้มครองแม่และทารก โดยกฎหมายนี้มุ่งเน้นการห้ามโฆษณาและส่งเสริมการขายเป็นหลัก ไม่ได้ห้ามขาย การที่ต้องมีมาตรการเช่นนี้ก็เพราะว่าที่ผ่านมานมแม่ไม่มีการโฆษณา แต่นมผงกลับมีการส่งเสริมการขายและโฆษณามากมาย โดยเฉพาะอาหารของเด็กเล็ก ซึ่งมีการโฆษณาว่าทารกกินได้ ที่ผ่านมาไม่มีกฎหมายเอาผิด แต่ พ.ร.บ.นี้จะเอาผิดทันที ส่วนกลุ่มอาหารเด็กเล็กก็ยังขายได้ตามปกติ แต่ต้องไม่โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับทารก โดยต้องมีการติดฉลากที่ชัดเจน แยกให้ชัด ไม่ใช่ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้เลย” นพ.ธงชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าสรุปแล้วกฎหมายใหม่ที่จะออกมานั้นจะควบคุมการส่งเสริมการขายและโฆษณาในธุรกิจอาหารเด็กเล็กและทารกกลุ่มใดบ้าง นพ.ธงชัยกล่าวว่า ข้อเท็จจริงของกฎหมายคือ ห้ามโฆษณาอาหารเสริมทารกเป็นหลักและฉลากต้องแยกให้ชัดระหว่างอาหารทารกและเด็กเล็ก กล่าวคือ ห้ามโฆษณาอาหารทารกถึง 1 ปี เพราะกลุ่มนี้ต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนจากนมแม่ ส่วนกลุ่มเด็กเล็กอายุ 1-3 ปีนั้นห้ามโฆษณาโดยใช้ข้อความเกี่ยวกับทารก หรือระบุว่าใช้เลี้ยงทารกได้ หากฝ่าฝืนแบบนี้ถือว่าผิด และหากไม่มีฉลากติดให้ชัดเจนก็จะผิดอีก โดยจะมีโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 1 แสนบาท แต่หากมีการส่งเสริมการขายอีกก็จะมีโทษปรับตั้งแต่ 1-3 แสนบาท เป็นต้น

Advertisement

ผศ.ปารีณา ศรีวนิชย์ ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องมี พ.ร.บ.โค้ดมิลค์ เนื่องจากบริษัทนมล้มเหลวในการใช้จริยธรรมในการควบคุมการกระทำของตัวเองและตัวแทน เพื่อปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดของบริษัทนม ทำให้กระทบต่อการตัดสินใจของแม่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ด้วยการทำให้เข้าใจผิดคิดว่านมผงดีกว่า หรือมีประโยชน์เท่านมแม่ และทำให้เข้าใจผิดว่าหลัง 6 เดือนหรือ 1 ปีไปแล้ว นมแม่ไม่มีประโยชน์ ทั้งที่ความจริงแล้วนมแม่อย่างเดียวไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่ไม่พอต้องกินอาหารอื่นร่วมด้วย

“ดังนั้น พ.ร.บ.โค้ดมิลค์จะช่วยปกป้องแม่และทารกเป็นหลัก เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่เป็นจริง อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการออกกฎหมายนั้น ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องมีการผลักดันด้วย อาทิ การส่งเสริมเรื่องสถานที่ให้นมแม่ในที่ทำงานก็เป็นสิ่งสำคัญ การพักเพื่อให้นมลูก ซึ่งที่ผ่านมาแม้บริษัทหลายแห่งจะจัดมุมนมแม่ให้ แต่ก็มีหลายบริษัทไม่เข้าใจจุดนี้ โดยพบว่ามีแม่ 3-4 รายถูกให้ออกจากงาน เนื่องจากใช้เวลาในการบีบนมเพื่อเก็บไว้ให้ลูก โดยใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีต่อวันเท่านั้น จุดนี้ทางมูลนิธิจึงมีความพยายามในการหารือกับทางกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในการขอความร่วมมือกับสถานประกอบการต่างๆ เพื่อขอความเห็นใจในจุดนี้ด้วย” ผศ.ปารีณากล่าว

ผศ.ปารีณากล่าวอีกว่า หากประเทศไทยมีความเข้าใจและให้ความสำคัญกับการให้นมแม่ในทารกอย่างรอบด้าน ก็คงไม่ต้องมี พ.ร.บ.โค้ดมิลค์ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ การโฆษณาและการส่งเสริมการขายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงมีอยู่ ขณะที่นมแม่ก็ถูกลดความสำคัญไป จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องมีกฎหมายนั่นเอง

Advertisement

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาวาระที่ 2 ในวันที่ 30 มีนาคมนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image