ไทยอันดับ 87 ‘เสรีภาพสื่อ’ อดีตนายกสมาคมนักข่าวฯ ชี้เป็นสังคมข้อมูลท่วมท้น

ไทยอันดับ 87 ‘เสรีภาพสื่อ’ อดีตนายกสมาคมนักข่าวฯ ชี้เป็นสังคมข้อมูลท่วมท้น

วันนี้ (3 พฤษภาคม 2568) ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพมหานคร สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดงานวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ประจำปี 2568

 

ทั้งนี้ น.ส.น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวฯ กล่าวว่า วันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศให้เป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมกันตระหนัก และให้ความสำคัญกับการทำงานที่มีเสรีภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของสังคมที่เปิดกว้าง และดีขึ้นจากทำงานของสื่อมวลชน ปัจจุบัน สถานการณ์สื่อมวลชนยังเต็มไปด้วยความท้าทายต่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแรงกดดันจากอำนาจต่างๆ ทั้งที่มองเห็นและไม่เห็น การถูกคุกคาม ข่าวปลอม ข่าวลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาดิสรัปการทำงานของสื่อ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามามีผลต่อแวดวงสื่อมวลชน

ADVERTISMENT

ด้าน นายกวี จงกิจถาวร ที่ปรึกษาและอดีตนายกสมาคมนักข่าวฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า องค์กรสื่อไร้พรมแดน จัดให้เสรีภาพสื่อไทยเป็นอันดับ 87 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ถือว่าไม่เลว และดีมาก เป็นปีที่ดีที่สุดก็ว่าได้ ขณะที่ ในกลุ่ม 10 ประเทศอาเซียน ตนจัดอันดับให้ประเทศที่มีเสรีภาพมากๆ คือ ฟิลิปปินส์ มีเสรีภาพมาก คือ ไทย อินโดนีเซีย มีเสรีภาพพอสมควร คือ มาเลเซีย มีเสรีภาพน้อย คือ สิงคโปร์ บูรไน มีเสรีภาพน้อยกว่า คือ เวียดนาม ลาว

“นักข่าวเป็นอาชีพที่อันตรายที่สุด แต่ประเทศไทย นักข่าวเป็นอาชีพที่มีสิทธิพิเศษมากที่สุด ประเทศที่มีนักข่าวถูกสังหารมากที่สุด ตามข้อมูล RSF และ CPJ รวมกัน 1,180 คน ในช่วงปี 2005-2025 ได้แก่ อิรัก ซีเรีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน นี่ยังไม่นับแถวกาซาที่ตายไปแล้ว 211 คน ทั้งนี้ ได้จัดให้ฟิลิปปินส์เป็นสีแดง เพราะในบริบทโลก นักข่าวฟิลิปปินส์มีชื่อเสียงมาก เพราะบางที่ ทำข่าวสืบสวน พูดเสร็จ เปิดประตูออกมาถูกยิงตายทันที แต่ประเทศที่อันตรายที่สุดในยามที่บ้านเมืองสงบที่สุด คือ เม็กซิโก เพราะนักข่าวถูกฆาตกรรมจำนวนมากเป็นรายวัน โดยเฉพาะการทำข่าวยาเสพติด” นายกวี กล่าว

อดีตนายกสมาคมนักข่าวฯ กล่าวว่า เคยถูกถามว่า ประเทศไทยมีข่าวปลอมหรือไม่ ซึ่งมักจะบอกว่า ไม่มี คนไทยมีแต่ข่าวลือ เพราะข่าวปลอมต้องมีโครงสร้างเป็นส่วนประกอบ

“แต่ไทยมีข่าวลือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุก 24 ชั่วโมง ก่อนจะหมดและหายไป แต่ในต่างประเทศ เวลามีข่าวปลอมหรือข่าวโกหก โครงสร้างข่าวปลอมเขาเข้มข้น มีหน่วยงานที่สามารถรองรับข่าวปลอมได้ตลอด แต่ประเทศไทยไม่มีเรื่องนี้ ถูกจับได้ก็ต้องเปลี่ยนเรื่องแล้ว ดังนั้น ประเทศไทยเราอยู่ในวัฒนธรรมที่เรียกว่า ข่าวลือ อาจจะมีการใส่สีตีไข่ ซึ่งเรามีรายการข่าวในชื่อลักษณะนี้ อีกหน่อยก็คงมีใส่ไข่ ใส่สี ในการรายงาน สมัยก่อนมีข่าวที่แบ่งแยกจากกันชัดเจน เขาเรียกว่า ข่าวบันเทิง ข่าวการเมือง ตอนนี้กลายเป็นว่าการเมืองบันเทิง หรือบันเทิงการเมือง หรือเถิดเถิงการเมือง ตอนนี้มันสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้น การรายงานข่าวจึงต้องมีความแม่นยำ” นายกวี กล่าวและว่า ประเด็นที่อยากเน้น คือ ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีข้อมูลท่วมท้น และไม่มีใครช่วยกรองข่าว ทำให้เกิดความสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก แล้วผสมผสานมโนข้อมูลกับข้อเท็จจริง จนกลายเป็นความจริง ดังนั้น นักข่าวต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง นี่คือสิ่งที่นักข่าวจำเป็นต้องตระหนักรู้

นายกวี กล่าวว่า สำหรับอนาคตสื่อไทยสู่ระดับสากลนั้น คิดว่าสื่อไทยต้องสร้างมาตรฐานสากลในการรายงานข่าวทั้งในและนอกประเทศ สื่อไทยทุกประเภทจำเป็นต้องหาดุลยภาพระหว่างความอยู่รอดกับมาตรฐานคุณภาพ ทุกสื่อ ทุกแพลตฟอร์มต้องมีเครื่องมือ ที่เรียกว่า “ความน่าเชื่อถือ” กลับมาให้ได้โดยเร็ว ส่วนคุณสมบัตินักข่าวยุค AI ซึ่งนักข่าวต้องปฏิบัติรวมทั้งตนด้วย คือ จะต้องซื่อสัตย์ต่อตนเองและคนอ่าน แสวงหาข้อเท็จจริงทุกรูปแบบ สามารถอ้างอิงข้อเท็จจริงที่เคยรายงานและกล้าแก้ไข ทำข่าวเชิงข้อมูล (Data journalism) ใช้ AI ช่วยรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์ แต่อย่าให้ AI สิงร่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ทั้งนี้ ต้องมีการรายงานข่าวที่เสนอทางออก ไม่เน้นเฉพาะแต่ความขัดแย้ง ต้องรู้ประเด็นร้อนทั่วไป และเจาะลึกบางเรื่อง